ธนาคารโลก หรือ World Bank เปิดเผยรายงานแนวโน้มการขยายตัวเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวที่ 4.0% ลดลงจากระดับที่คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับก่อนหน้าเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมาหดตัวถึง 4.3%
ทั้งนี้ รายงานของ World Bank ยังระบุอีกว่า แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะได้รับความเสียหายน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังมีผลต่อการฟื้นตัวที่จะเป็นไปอย่างซบเซา โดยหากสถานการณ์ย่ำแย่เลวร้ายขีดสุด เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้เพียง 1.6% ในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่การระบาดยังคงลุกลาม และการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ขณะที่เศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 3.8% และไวรัสโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงาน
ในส่วนของการเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ World Bank คาดว่าจะขยายตัว 3.5% ในปีนี้ ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 4.0% ขณะที่คู่แข่งอย่างจีนจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ถึง 7.9% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.9% จากการคาดการณ์ครั้งก่อน
ด้านยูโรโซนจะขยายตัวได้ 3.6% ญี่ปุ่นได้ 2.5% และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะสามารถขยายตัวได้ 3.4%
วันเดียวกัน Gita Gopinath หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาคาดการณ์ว่าการขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021 โดยเฉพาะบรรดาประเทศพัฒนาแล้วที่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นผลพวงจากการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนของรัฐบาลนานาประเทศ
โดยก่อนหน้านี้ ในเดือนตุลาคม IMF ได้ออกมาคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2021 ว่าจะพลิกฟื้นขยายตัวโตที่ 5.2% เมื่อเทียบกับปี 2020 ที่เศรษฐกิจโลกหดตัว 4.4%
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าเป็นห่วงมากกว่า ไมใช่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก แต่เป็นความเหลื่อมล้ำในการขยายตัวของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่สามารถจัดการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพจะฟื้นฟูทางเศรษฐกิจได้ดีกว่า
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: