วันนี้ (27 ธันวาคม) ที่ประชุมของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาได้มีความเห็นร่วมกันในการตั้งฉายาของรัฐสภาเพื่อเป็นการเป็นการสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีข้อสรุปดังนี้
1. สภาผู้แทนราษฎร: ปลวกจมปลัก
ปลวกเป็นสัตว์ที่มีการแบ่งงานกันทำเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด สำหรับสภาผู้แทนราษฎรแล้ว มี ส.ส. ที่ทำงานดุจปลวกที่ทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการใช้สภาเป็นเครื่องมือเพื่อชิงอำนาจและทำลายล้างฝั่งตรงข้าม ยิ่งนานวันก็จมปลักกับการทำงานแบบเดิม ไม่ใช้สภาเพื่อประโยชน์ในการระดมสมองและแก้ปัญหาให้กับประชาชน หนำซ้ำตลอดปีมานี้การประชุมสภาล่มกลางคันหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ส.ส. ชุดนี้ไม่ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา ทั้งที่เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ ส.ส. ในฐานะคนทำงานจึงเปรียบเป็นปลวกที่จมปลัก ไม่พัฒนา และจะยิ่งกัดกินหลักการของประชาธิปไตยให้ผุกร่อนเข้าไปทุกที
2. วุฒิสภา: สภาปรสิต
ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายถึง ‘ปรสิต’ ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยผู้อื่นหรือเซลล์ชนิดอื่นเป็นที่พักอาศัยและแหล่งอาหาร และบางครั้งทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประโยชน์นั้นหรือเซลล์ภายในจนเจ็บป่วยหรือถึงกับเสียชีวิต เมื่อกลับมามองในมิติทางการเมืองแล้วจะพบว่าวุฒิสภาชุดนี้ก็มีสภาพไม่ต่างจากปรสิตที่อาศัยอยู่ในรัฐสภา นอกจากไม่มีผลงานที่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนปรสิตแล้วยังนำมาซึ่งพิษภัยแก่การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยเฉพาะการพยายามใช้เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างเพื่อชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาพิจารณาก่อนรับหลักการไปจนถึงการลงชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นฉายา ‘ปรสิต’ จึงเหมาะกับวุฒิสภาชุดนี้
3. ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร: ครูใหญ่ไม้เรียวหัก
ทุกครั้งที่ ชวน หลีกภัย ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมสภา ไม่เคยถูกกังขาถึงความเป็นกลางแม้แต่ครั้งเดียว และตลอดปีที่ผ่านมาก็ยังยึดแนวทางดังกล่าวไว้ได้อย่างมั่นคง นอกเหนือไปจากการพยายามควบคุมการประชุมสภาแล้ว ประธานสภายังสวมบท ‘ครูใหญ่’ ที่ถือไม้เรียวคอยกวดขันวินัยของ ส.ส. ที่หย่อนยานอีกด้วย เช่น การตักเตือน ส.ส. ให้สวมหน้ากากในห้องประชุมสภาเพื่อคุมการระบาดของโควิด-19 หรือการขอความร่วมมือ ส.ส. ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา เป็นต้น แต่ปรากฏว่า ส.ส. การ์ดตกทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการละเลยการสวมหน้ากากอนามัย หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างขอความร่วมมือ ส.ส. งดนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับประทานในห้องประชุมก็ไม่เป็นผล และที่ร้ายแรงที่สุดคือเหตุการณ์สภาล่ม ซึ่งเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าต่อให้ประธานสภาจะยึดมั่นหลักการแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะ ส.ส. ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ เหมือนกับครูใหญ่ที่มีไม้เรียว และต่อให้ฟาดแรงจนไม้เรียวหักคามือ ส.ส. ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด
4. พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา: หัวตอรอออร์เดอร์
ถ้าเทียบบารมีทางการเมืองระหว่างเมื่อครั้งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับประธานวุฒิสภา ถือว่านับตั้งแต่มาเป็นประมุขสภาสูง บารมีของพรเพชรลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำด้วยทุกครั้งที่ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในฐานะรองประธานรัฐสภา พบว่าไม่สามารถควบคุมการประชุมให้เป็นที่เรียบร้อยได้เมื่อเทียบกับ ชวน หลีกภัย หลายครั้งที่รับมือกับความเคี่ยวทางการเมืองของ ส.ส. ฝ่ายค้านไม่ไหว ทำให้การประชุมเกิดความปั่นป่วนเป็นระยะ กลายเป็นหัวหลักหัวตอที่สมาชิกรัฐสภาไม่ค่อยให้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ การทำหน้าที่ของประธานวุฒิสภายังไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เพราะหลายเรื่องในวุฒิสภากลับปล่อยให้ ส.ว. เป็นผู้ชี้นำประธานวุฒิสภาแทน ภาพรวมแบบนี้ทำให้ประธานวุฒิสภาเสมือนหัวหลักหัวตอที่ไม่มีใครสนใจ แต่มีหน้าที่แค่รับคำสั่งทำงานเท่านั้น
5. สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร: สุทิน คลังแสง?
ก่อนอื่นต้องบอกว่าฉายาของผู้นำฝ่ายค้านที่ปรากฏออกมานั้นเป็นฉายาที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้เขียนผิดแต่อย่างใด เนื่องจากต่างเห็นตรงกันว่าบทบาทการเป็นผู้นำฝ่ายค้านนั้น สมพงษ์ไม่ได้โดดเด่นสมกับตำแหน่งเท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับเป็น สุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่น หลายต่อหลายครั้งเป็นตัวแทนของฝ่ายค้านไปร่วมประชุมกับฝ่ายรัฐบาลจนทำให้ฝ่ายค้านได้เวลาอภิปรายในสภาอย่างสมน้ำสมเนื้อและสามารถชี้นำสภาในที่ประชุมได้ ผิดกับผู้นำฝ่ายค้านตัวจริงที่ยังไม่ทำงานเชิงรุกมากนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า สุทิน คลังแสง คือผู้นำฝ่ายค้าน ไม่ใช่ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
6. ดาวเด่นแห่งปี: สุทิน คลังแสง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2563 ตลอดทั้งปี สุทิน คลังแสง ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้อย่างท็อปฟอร์ม หลายครั้งที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องสำคัญ และ ส.ส. ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยที่อภิปรายนอกประเด็นไปไกล และใช้แต่วาทศิลป์ในการโจมตี แต่ทุกอย่างก็กลับเข้ารูปเข้ารอยเมื่อสุทินได้ขึ้นอภิปรายสรุปประเด็น การอภิปรายสรุปของประธานวิปฝ่ายค้านไม่ใช่แค่การอภิปรายสรุปเพื่อให้จบตามหน้าที่เท่านั้น เพราะยังหยิบจับประเด็นสำคัญบางเรื่องที่ ส.ส. ฝ่ายค้านอาจไม่ได้พูดถึง หรือพูดถึงแต่ยังไม่มีความชัดเจนมาขยายความเพื่อให้สภาได้ข้อเท็จจริงเพิ่มมากขึ้น ตำแหน่งดาวสภาประจำปี 2563 จึงตกเป็นของ สุทิน คลังแสง ไปอย่างเอกฉันท์
7. ดาวดับแห่งปี: วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย
การตัดสินตำแหน่งดาวดับแห่งปีในครั้งนี้ถือว่ามีความลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีข้อเสนอควรให้ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ สมควรได้รับตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน ภายหลังมงคลกิตติ์แสดงจุดยืนทางการเมืองที่กลับไปกลับมา นึกอยากจะร่วมรัฐบาลก็ประกาศสนับสนุน แต่วันใดไม่อยากสนับสนุนก็ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ ซึ่งอาจบอกว่าเป็น ส.ส. ไร้จุดยืนก็คงไม่ผิดนัก แต่ถึงที่สุดแล้วสื่อมวลชนรัฐสภามีความเห็นว่าควรให้ตำแหน่งดาวดับเพียงคนเดียว และตำแหน่งนั้นเป็นของ วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ใช้มีดปอกผลไม้กรีดแขนกลางที่ประชุมสภาเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะเป็นการชี้นำให้ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเป็น ส.ส. หลายสมัยและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อน ซึ่งสมควรเป็นแบบอย่างที่ดี แต่กลับแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อหวังผลทางการเมือง จึงหวังว่าตำแหน่งดาวดับที่สื่อมวลชนมอบให้จะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก
8. คู่กัดแห่งปี: สิระ เจนจาคะ และมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
เกือบได้เห็นการวางมวยกลางสภา ภายหลังปฐมบทแห่งความเดือดมาจากกรณีที่ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถควบคุมความสงบได้ ต่อมา สิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวตอบโต้ว่า “การออกมาเรียกร้องเช่นนี้ต้องการผลประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือเงินหมด เพราะบริจาคเงินเดือน ส.ส. ให้ในสถานการณ์โควิด-19 ไปแล้ว ซึ่งหากเงินหมดจริงติดต่อผมได้” เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น เพราะมงคลกิตติ์โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กระบุว่า “เจอสิระที่ไหน จะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก” และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เจอหน้ากันจริง โดยเป็นเหตุการณ์ระหว่างที่มงคลกิตติ์กำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบริเวณรัฐสภา และได้พบกับสิระ ทำให้เดินเข้าไปจับแขนสิระ แต่สิระสะบัดออก ปรากฏว่ามงคลกิตติ์พยายามเดินตาม แต่สิระเดินหนี ที่สุดแล้วต้องถึงมือ ชวน หลีกภัย ที่ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ปรามทั้งสองฝ่ายว่าต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของสภาด้วย
9. เหตุการณ์แห่งปี: การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยากที่สุด โดยเฉพาะการต้องมีเสียง ส.ว. สนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นผลให้การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในเดือนกันยายนไม่สามารถลงมติได้ แต่กลับต้องมาตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ และเมื่อกลับมาประชุมรัฐสภาอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนนำโดยกลุ่ม iLaw ได้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนครั้งแรก การประชุมรัฐสภาเวลานั้นไม่ได้เข้มข้นเฉพาะในสภาเท่านั้น แต่นอกสภาก็เดือดไม่แพ้กัน ภายหลังกลุ่มสนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาและเกิดการปะทะกันเป็นระยะ อีกด้านหนึ่งตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีควบคุมการชุมนุมของกลุ่มราษฎร จนกระทั่งที่สุดแล้วเหตุการณ์นอกสภาสงบลงพร้อมด้วยการลงมติของรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยกับการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป ด้วยเหตุนี้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาจึงเป็นเหตุการณ์แห่งปีไปอย่างไม่ต้องสงสัย
10. วาทะแห่งปี: “มันคือแป้ง”
“สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดของรัฐนิวเซาท์เวลส์อ้างว่าเป็นเฮโรอีน 3.2 กิโลกรัม มันคือแป้ง” เป็นการชี้แจงของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลานั้น ร.อ. ธรรมนัส ถูกกังขาถึงความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งว่ามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนนำมาสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่ง ร.อ. ธรรมนัส ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งของตนเองถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม ร.อ. ธรรมนัส กลับเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจจากสภาน้อยที่สุดเพียง 269 เสียง โดยที่ ร.อ. ธรรมนัส ได้ลงคะแนนไว้วางใจตัวเอง จากเหตุการณ์นี้เองทำให้คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลง และสื่อต่างประเทศก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการจับกุม ร.อ. ธรรมนัส ในอดีตด้วย
11. คนดีศรีสภา: ยกเลิกตำแหน่งนี้ถาวร
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาไม่ได้มอบตำแหน่งคนดีศรีสภาให้กับสมาชิกรัฐสภา เนื่องจากท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ปรากฏว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้นสื่อมวลชนประจำรัฐสภาจึงมีความเห็นร่วมกันว่าสมควรยกเลิกตำแหน่งนี้เป็นการถาวร จนกว่าในอนาคตจะมีสมาชิกรัฐสภาที่มีความประพฤติที่เหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าวต่อไป
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์