สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษขับเคลื่อนประเทศไทย 2021 ในงาน Dinner Talk: Restart Thailand 2021 จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ เมื่อคืนวานนี้ (17 ธันวาคม) ว่าทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐในปี 2564 และปี 2565 ไม่สามารถเรียกว่าความโชคดีได้ แต่เป็นเพราะความต่อเนื่องของรัฐบาลที่ทำมาก่อนหน้านี้ถึง 6 ปี โดยการนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานไว้รองรับการปรับตัว
“เราอาจจะไม่รู้สึกวันนี้ แต่ถ้านึกถึงกรุงเทพมหานครที่จะเกิดรถไฟฟ้า 14 สาย ตลอด 4-5 ปีนับจากนี้กรุงเทพมหานครจะมีระบบขนส่งมวลชนระบบรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ความยาวประมาณ 500 กิโลเมตร ขณะที่นโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะมีข้อผูกพันการลงนามในสัญญาใน 3-4 ปีจากนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และนำไปสู่การเปลี่ยนประเทศในเชิงการอำนวยความสะดวก มีห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยเพื่อจะรองรับการลงทุน รวมไปถึงระบบ Digital Platform 5G โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล” สุพัฒนพงษ์กล่าว
สุพัฒนพงษ์กล่าวว่าได้มีโอกาสพบกับบริษัทหัวเว่ย ซึ่งเขายืนยันว่าในภูมิภาคนี้ ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค งานด้านดิจิทัลและเกิดธุรกิจใหม่ใน EEC มากมาย ดังนั้นจึงต้องยกระดับขึ้นให้เกิดเป็นปฏิบัติการเชิงรุกในปี 2565 เพื่อให้เกิดผลของการลงทุนในปี 2565 อย่างชัดเจน
“เราคงยอมไม่ได้ที่จะให้ประเทศไทยหลังโควิด-19 กลับมาเหมือนเดิมเหมือนปี 2562 ในเมื่อเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมเปิดดำเนินการใน 3-4 ปีข้างหน้า และได้ทยอยเปิดในปีนี้ไปบ้างแล้ว ปีหน้ารัฐบาลจะปฏิบัติการเชิงรุก เราจะไม่อายใคร เราจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเปิด เราจะร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ EEC วันนี้เริ่มเดินสายคุยกับหอการค้าต่างประเทศ เริ่มคุยกับสถานทูต 5 ประเทศถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อม ซึ่งภูมิภาคอื่นไม่มีความพร้อมทั้งในด้านท่าเรือ ถนน ไฟฟ้า Digital Platform Communication” สุพัฒนพงษ์กล่าว
สุพัฒนพงษ์กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ประเทศไทยต้องปรับปรุงวิธีการหรือช่องทางการอำนวยความสะดวกในการลงทุน (Doing Business) มาตรฐาน 10 ข้อ จุดประสงค์เพื่อยกระดับดัชนีการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจในประเทศ จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 21 ให้ขึ้นมาอยู่อันดับ 10 เพื่อให้นักลงทุนอยากลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด
“ปีหน้าเป็นปีของการดึงดูด ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เป็นอุตสาหกรรมที่จะเปลี่ยนประเทศไทย ยุติการพึ่งพิงการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่รัฐต้องมีหน้าที่ส่งเสริม ดึงดูด สะสาง ปรับปรุง เรื่องกฎและกติกาต้องเร็วขึ้น โปร่งใสมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยง” สุพัฒนพงษ์กล่าว
สุพัฒนพงษ์กล่าวว่าถ้าเป็นเรื่องของรถไฟ ศาลายา นครปฐม สมุทรปราการ-บางปู ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี นนทบุรี เมืองเหล่านี้จะรายล้อมกรุงเทพฯ เป็นเมืองเดียวกัน ประเทศไทยจะมีการขยายตัว กรุงเทพฯ จะมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางของสำนักงานภูมิภาค ขณะนี้ BOI เตรียมเรื่องการส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจัง
“ค่ายรถยนต์พร้อมและเชื่อว่าประเทศไทยจะก้าวไปสู่ยานยนต์ประจุไฟฟ้า (EV) ได้ไม่ยาก ทุกคนพร้อมจะเดินหน้า แต่ต้องมีแผนแม่บทที่ชัดเจน ประกอบกับเกณฑ์ภาวะเรือนกระจกจะเกิดขึ้นในโลกนี้แน่นอนในประเทศมหาอำนาจและประเทศตะวันตก ซึ่งตนมองว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีระบบการเชื่อมโยงทางพลังงาน โรงไฟฟ้าชีวมวล หรือโรงไฟฟ้าชุมชน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ”
สุพัฒนพงษ์กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 จะไม่ใช่การลงทุนทันที แต่จะเป็นการเตรียมการดึงดูด เชิญชวน และการแก้ไขตัวเราเอง แก้ไขระบบราชการให้เข้มแข็งมากขึ้น เอกชนไทยจำเป็นต้องเชื่อมั่นในประเทศไทยและร่วมกันดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้มาเป็นพาร์ตเนอร์ เราจะเป็นเจ้าบ้านที่ดี และเริ่มลงทุนได้ในปี 2565
“อยากจะฉายภาพให้เห็น ถ้าทำตรงนี้ได้ ปี 2565 เราจะกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม แต่ปี 2564 เรายังจะต้องช่วยประคับประคองกันต่อไป ถึงแม้จะมีข่าวดีเรื่องวัคซีนประมาณกลางปี 2564 เพราะต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการตั้งตัว เอกชนต้องใช้โอกาสนี้เพื่อปรับตัวเอง เปลี่ยนตัวเอง เพื่อใช้สร้างธุรกิจใหม่ให้กับประเทศไทย เอกชนจะต้องช่วยกันกระตุ้นเพื่อให้เกิดโมเมนตัมในการลงทุน ยากจะทำให้สำเร็จ แต่เราต้องช่วยกันจึงจะสำเร็จ” สุพัฒนพงษ์กล่าว
สุพัฒนพงษ์กล่าวว่าปีหน้าจะมีทีมปฏิบัติการเชิงรุก โดยเชิญเอกชนหรือบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศมาร่วมกัน มารวมไทยสร้างชาติ แสวงหาโอกาสในสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เพราะปี 2565 จะเป็นปีที่เราจะลุกขึ้นมา ลุกไวแล้ววิ่งเลย ถ้าเราช้า คนอื่นจะคว้าไปหมด ทิศทางลมมาทางนี้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องสงครามการค้า ความจำเป็นของสหรัฐฯ ที่จะต้องพึ่งพิงจีนน้อยลง ผู้ที่จะขายของให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน ไทยเป็นประเทศเป้าหมายที่จะมาลงทุน
สุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ขณะเดียวกันภายในประเทศเราจะไม่ทิ้งเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่เคยลืม เราจะสร้างโอกาสให้คนที่ด้อยกว่าตลอดเวลา จะมี Digital Marketing Platform เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เพราะเรายังต้องดูแลคนที่เหลือของประเทศที่ยังอ่อนแอ แต่สิ่งที่เราจะทำ แจกเงินให้คนอย่างเดียวไม่ได้ เพราะงบประมาณไม่พอ แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลทำได้คือเราจะสร้างโอกาสให้แสวงหาจุดแข็งของตัวเอง สร้างอาชีพใหม่ๆ ให้คนรุ่นใหม่ที่จะเชื่อมระหว่างคนตัวเล็กกับผู้ซื้อ เหมือนกับโครงการคนละครึ่งที่ประสบความสำเร็จ สิ่งเหล่านั้นที่จะนำไปต่อยอดและขยายจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอีก และต่อยอดให้เป็นระบบแพลตฟอร์มที่จะทำให้คนเข้ามาในระบบนี้ได้อีกครั้งหนึ่ง คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า
“จำเอาไว้เลย เกิดการระบาดครั้งที่สองอีกไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าล็อกดาวน์จะเกิดผลกระทบกับประเทศและความรู้สึกของคนไทยทุกคนมาก เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องป้องกันดูแลให้ดี” สุพัฒนพงษ์ทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์