ผลการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ระบุว่าวัคซีนของ Moderna ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ที่ 94% ซึ่งกรุยทางสู่การอนุมัติใช้กับประชาชนในสหรัฐฯ เป็นกรณีฉุกเฉินภายในไม่กี่วันข้างหน้า โดยถือเป็นตัวที่ 2 ต่อจากวัคซีนที่พัฒนาโดย Pfizer และ BioNTech
ข่าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มแจกจ่ายวัคซีนของ Pfizer ไปยังรัฐต่างๆ ทั่วประเทศ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วประเทศทะลุ 300,000 ราย จากข้อมูลล่าสุด (16 ธันวาคม) ของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์
ส่วนหนึ่งในเอกสารของนักวิทยาศาสตร์ FDA จำนวน 54 หน้า ระบุว่า ไม่มีความกังวลด้านความปลอดภัยเป็นการเฉพาะ ขณะที่ผลข้างเคียงอันตรายหรืออาการไม่พึงประสงค์รุนแรงเกิดขึ้นได้ยาก โดยพบว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสที่อัตรา 94.1% จากการทดลองในอาสาสมัครจำนวน 30,000 คน
สำหรับผลข้างเคียงทั่วไปนั้น พบว่าผู้รับวัคซีนอาจมีอาการไข้ ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
โดยภายใน 2 วันข้างหน้าคณะกรรมการ FDA มีกำหนดจะประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติใช้วัคซีนในประเทศเป็นการฉุกเฉินต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มขนส่งวัคซีนดังกล่าวได้ภายใน 24 ชั่วโมง หากได้รับไฟเขียวจากคณะผู้เชี่ยวชาญของ FDA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สำหรับวัคซีนทั้งสองนี้เป็นชนิด mRNA หรือใช้การตัดต่อสารพันธุกรรมเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขการขนส่งที่ต่างกัน โดยวัคซีน Moderna สามารถเก็บในตู้แช่ที่อุณหภูมิราว -20 องศาเซลเซียส เหมือนกับตู้แช่แข็งทั่วไป ซึ่งถือว่าง่ายกว่ามาก ขณะที่ Pfizer ต้องเก็บในตู้แช่พิเศษที่อุณหภูมิเกือบ -75 องศาเซลเซียส
โดยประชาชนที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกคือบุคลากรการแพทย์ในพื้นที่แนวหน้า และประชาชนผู้สูงอายุหรือมีปัญหาสุขภาพ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโควิด-19 มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: