วันนี้ (13 พฤศจิกายน) ในงานเสวนา ‘บทบาทรัฐสภาในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ 7 ญัตติ กับจุดเปลี่ยนประเทศไทย’ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานก่อตั้งสถาบันสร้างไทย กล่าวถึงข้อเสนอเพื่อนำประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ปัจจุบันว่า ตลอดระยะเวลาที่ทำงานการเมืองมา วิกฤตการเมืองในวันนี้ถือว่าหนักมาก เพราะไม่ใช่วิกฤตเฉพาะคนที่เห็นต่างทางฝ่ายการเมืองเท่านั้น แต่มันคือความเห็นต่างระหว่างช่วงวัยด้วย ซึ่งการแก้ปัญหาจำเป็นต้องใช้สติและความรอบคอบ ที่สำคัญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการชุมนุมหลายครั้ง แต่จะเห็นว่าผู้มีอำนาจ หรือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้รับฟังข้อเสนอเลย หรืออาจจะฟังแต่ไม่มีการนำมาแก้ไข สิ่งที่ห่วงก็คือ ในวันนี้ภาวะของสังคมและเศรษฐกิจไทยตกต่ำลง หากเกิดการใช้กำลังหรือรัฐประหารเพื่อแก้ไขปัญหา ส่วนตัวมองว่าจะเกิดวิกฤตขึ้นหนักกว่านี้ วันนี้ตนจึงอยากเสนอทางออกให้กับประเทศ หรือ บันได 3 ขั้น ประกอบด้วย
บันไดขั้นที่ 1 ตั้ง ‘คณะกรรมการเพื่อการแสวงหาทางออกประเทศไทย’ โดยคณะกรรมการชุดนี้ต้องตั้งโดยมีกฎหมายรองรับ มีการกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจน เช่น ต้องจบภายใน 3-5 เดือน มีองค์ประกอบและมีส่วนร่วมที่หลากหลาย ที่มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง และต้องมีผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษาร่วมนั่งเป็นกรรมการ คณะกรรมการชุดนี้ต้องอาศัยกลไก ‘กระบวนการยุติธรรมในช่วงเปลี่ยน’ เป็นแนวทางในการดำเนินงาน นั่นคือเป็นเวทีและพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย ต้อง ‘ยุติการดำเนินคดี’ ไว้ก่อน และในระหว่างการพูดคุยต้องไม่มีการดำเนินคดีไม่ว่าทางใดๆ ต่อผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง ปล่อยตัวผู้ชุมนุม ยกเลิกการตั้งข้อหาเพื่อกลั่นแกล้ง ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อกัน หลังจากนั้นจึงประมวลมติความเห็นจากการพูดคุยของคณะกรรมการนำเสนอสู่รัฐสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อเสนอที่เห็นพ้องไปสู่การปฏิบัติจริง หากหน่วยงานไม่นำไปปฏิบัติถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
บันไดขั้นที่ 2 ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเร่งด่วน นำไปสู่ ‘รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน’ ให้เป็นไปตามที่เคยประเมินกันไว้ คือถึงที่สุดแล้วรัฐธรรมนูญปี 2560 คือระเบิดเวลาที่นำพาประเทศมาสู่ทางตันในวันนี้ โดยเฉพาะกลไก 250 สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ทำให้การสืบทอดอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์ และเครือข่ายดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นความจริงใจของ พล.อ. ประยุทธ์ และ ส.ว. ที่จะยอมรับว่าตัวเองเป็นใจกลางของปัญหาบ้านเมือง และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรนูญปี 2560 และในแง่นี้ รัฐสภาจึงจำเป็นต้องเร่งผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งร่างที่เสนอโดยพรรคฝ่ายค้าน พรรครัฐบาล และร่างของภาคประชาชนที่ผ่าน iLaw มาพิจารณาให้แล้วเสร็จ ทั้ง 3 วาระภายในต้นเดือนธันวาคม เร่งให้มีการเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อให้เป็นตัวแทนประชาชนไปร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้แล้วเสร็จภายใน 8 เดือน ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอเน้นย้ำให้ตัดอำนาจ ส.ว. ไม่ให้มีสิทธิ์ในการเลือกนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
บันไดขั้นที่ 3 พล.อ. ประยุทธ์ ต้องลาออกหลังสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในต้นเดือนธันวาคม เพราะในวันนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ต้องยอมรับว่าตัวเองคือใจกลางของปัญหาบ้านเมือง จำเป็นต้องลาออก เพื่อเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยมีรัฐบาลใหม่ทำหน้าที่สนับสนุนให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้แล้วเสร็จภายใน 8 เดือน ต่อจากนั้นต้องเร่งคืนอำนาจให้ประชาชน ‘เลือกตั้งใหม่’ ไม่เกินปลายปี 2564 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ไม่มีกลไกอันบิดเบี้ยว คอยบิดเบือนมติของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญใหม่จะนำไปสู่โอกาสในการออกแบบประเทศไทย ปลดล็อกคนไทยจากการสืบทอดอำนาจของเผด็จการทหารที่ดำเนินมาต่อเนื่องยาวนาน
คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำด้วยว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอของตนเอง ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย และเสนอในฐานะประชาชนที่ต้องการเห็นทางออกของประเทศนี้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า