วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แม้ว่าโพลต่างๆ จะเทน้ำหนักไปทาง โจ ไบเดน ก็ตาม โดยหากเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งนั้น โพลก็ชี้ว่าผู้คว้าชัยน่าจะเป็น ฮิลลารี คลินตัน
ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะได้รับการเลือกตั้ง นักลงทุนก็ไม่ควรวางเดิมพันข้างใดข้างหนึ่ง และไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง โดยควรจัดพอร์ตการลงทุนที่เน้นการกระจายสินทรัพย์ เพื่อลดความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
หาก โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งตามที่โพลหลายสำนักคาดการณ์ไว้ ประเมินว่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจ และการลงทุนที่การเปลี่ยนกระแสไป ดังนี้
- สหรัฐอเมริกาจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนที่มากขึ้น โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน
- มีการขาดดุลการค้ามากขึ้น
- มีการกู้เงินมากขึ้น เพื่อสอดรับกับแผนลงทุน
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) จะสูงขึ้น
- ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
- นโยบายบริหารความสัมพันธ์กับจีนน่าจะเข้มข้นเหมือนเดิม แต่มีทิศทางหรือกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนกว่า
เขากล่าวเพิ่มว่า เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า กระแส Fund Flow ก็จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชีย
“นักลงทุนส่วนมากน่าจะชอบโจ ไบเดน มากกว่า เนื่องจากมีนโยบายที่ชัดเจน บอกข้อมูลเป็นหลักการ ต่างจากทรัมป์ที่แม้จะบอกนโยบาย แต่วิธีปฏิบัติไม่ค่อยชัดเจน คาดเดาได้ยาก นักลงทุนชอบความแน่นอน”
ทั้งนี้ นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง โดยแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนระยะกลาง ดังนี้
ประเภทสินทรัพย์ สัดส่วนการลงทุน คำแนะนำ
ตราสารหนี้ 40% ลดสัดส่วน
หุ้นไทย 15% เพิ่มน้ำหนักลงทุน
หุ้นต่างประเทศ 15% เพิ่มน้ำหนักลงทุน
อสังหาริมทรัพย์ (REIT) 25% เพิ่มน้ำหนักลงทุน
ทองคำ 5% ลด/คงสัดส่วน
วศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าโพลจะชี้ว่าโจ โบเดน น่าจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่จากประวัติศาสตร์พบว่าประะธานาธิบดีมักจะมีโอกาสดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 เพราะฉะนั้น ความไม่แน่นอนก็ยังคงมีอยู่
ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งทั้งโจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างก็มีนโยบายเรื่องนี้ทั้งคู่ แต่โจ ไบเดน น่าจะใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากกว่า และมีนโยบายโดดเด่นกว่าในเรื่องพลังงานบริสุทธิ์และการสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม นโยบายขึ้นภาษีอาจจะทำให้โจ ไบเดน ดูเสียเปรียบกว่าเล็กน้อย
ในส่วนของภาพรวมการลงทุนนั้น ยังคงต้องติดตามปัจจัยเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทั้งสองผู้ลงสมัครเลือกตั้งต่างก็เน้นนโยายเรื่องนี้ทั้งคู่ แต่นโยบายที่ออกมาจะแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ยังต้องติดตาม Geopolitical Risk ที่น่าจะมีความตึงเครียดมากขึ้น
วศิน กล่าวว่า เมื่อการเลือกตั้งจบลง สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในสหรัฐอเมริกาก็คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่อาจจะไม่มากนัก ส่วนเศรษฐกิจประเทศจีนซึ่งเป็นอีกแกนเศรษฐกิจหนึ่งของโลกก็จะใช้นโยบาย Dual Circulation หรือการเน้นสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งจากภายในประเทศและนอกประเทศ
การใช้นโยบายดังกล่าว จะทำให้จีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก และมีขนาดการบริโภคภายในประเทศที่ใหญ่มาก ตามฐานจำนวนประชากร
“เพราะฉะนั้น การจัดพอร์ตลงทุนก็ควรจะมีทั้งหุ้นจีน หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นไทย โดยหุ้นไทยมีความน่าสนใจอยู่มาก โดยเฉพาะในหุ้นที่เป็น Cash Cow หรือมีการเติบโตที่มั่นคง”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์