นักลงทุนหันเก็งกำไรหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก หวังเลี่ยงปัจจัยลบจากการเมืองในประเทศ หนุนหุ้น KCE ปรับขึ้นร้อนแรง เผย 6 เดือนราคาพุ่ง 225% ทำสถิติสูงสุดรอบ 2 ปี
สถานการณ์การเมืองที่เริ่มกลับมาเป็นประเด็นร้อนแรง กดดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง 4 วันทำการ โดยหุ้นกลุ่มที่มีแรงขายออกมาค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออก ส่วนใหญ่ราคายังพอไปได้ โดยเฉพาะหุ้น บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่อง
โดยราคาหุ้น KCE วันนี้ (20 ตุลาคม) ปิดตลาดที่ 38.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.65% มูลค่าการซื้อขายรวม 554.49 ล้านบาท และหากเทียบกับปลายเดือนมีนาคมพบว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาแล้วราว 225% และยังถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี
บล.บัวหลวง มองว่า หุ้น KCE เป็นหุ้นที่ปลอดภัยและได้ประโยชน์ทางอ้อมจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัว โดยในวิกฤตการเมือง 2 ครั้งล่าสุดราคาหุ้นของ KCE ปรับตัวขึ้นได้ทั้ง 2 ครั้ง
สำหรับภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ในตลาดโลกเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกำไรหลักของ KCE ไตรมาส 3/63 คาดจะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาส 2/63 และไตรมาส 4/63 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเราได้ปรับประมาณการกำไรของ KCE ขึ้น 9% สะท้อนภาพของการฟื้นตัวของกำไร และยืนยันด้วยตัวเลขอุตสาหกรรม
ขณะที่มูลค่าหุ้นของ KCE ยังคงเทรดที่ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ต่ำกว่า DELTA อยู่ 15% จากในอดีตที่เคยอยู่ระดับเดียวกัน คงคำแนะนำซื้อ โดยปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 33 บาท เป็น 41 บาท
ด้าน บลจ.ทิสโก้ ระบุว่า เราคาดว่าผลประกอบการครึ่งปีหลังของ KCE จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากแผนในการลดต้นทุนและโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ๆ จากผลของการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน เริ่มรับรู้ในช่วงไตรมาส 4/63
โดย บลจ.ทิสโก้ คาดว่าผลประกอบการจะเพิ่มขึ้น 9% ในปี 2563 ก่อนที่จะเติบโต 58% ในปี 2564 จากอัตรากำไรที่ฟื้นตัวขึ้นจากประสิทธิภาพการดำเนินงาน และธุรกิจ HDI (ชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) ที่ดีขึ้น พร้อมมองราคาหุ้นที่ฟื้นตัวขึ้นรับรู้ปัจจัยบวกนี้ไปแล้ว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/63 คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาส 2/63 เป็น 79 ล้านดอลลาร์ หนุนจาก
- ยอดขายรถยนต์ที่ฟื้นตัวขึ้นจากการกลับมาเปิดภาคการผลิต
- การเพิ่มกำลังการผลิตโดยเฉพาะในส่วนของแผงวงจรไฟฟ้า (HDI PCB) เพื่อรองรับการเติบโต ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 22% จาก 18.2% ในช่วงไตรมาส 2/63 จากประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้น และการลดต้นทุนลง
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
