กลายเป็นคดีสะเทือนขวัญฝรั่งเศส หลังเกิดเหตุฆาตกรรมตัดคอครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองกงฟล็องส์-แซงโตโนรีน ชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะเดินทางกลับจากโรงเรียน ทราบชื่อผู้ลงมือก่อเหตุคือ อับดุลเลาะห์ อโบเยโดวิช อันโซรอฟ ผู้ลี้ภัยชาวเชชเนียของรัสเซีย วัย 18 ปี ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ ซามูเอล ปาตี ครูผู้เสียชีวิตและโรงเรียนแห่งนั้นแต่อย่างใด ก่อนที่จะเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกวิสามัญในที่สุด
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวผู้ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ 15 รายเข้าสอบปากคำ ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่ของผู้ลงมือก่อเหตุ น้องชายวัย 17 ปี พ่อของเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่สร้างแคมเปญต่อต้านครูปาตี รวมถึงนักเทศน์ที่สื่อท้องถิ่นต่างเรียกเขาว่าเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามสุดโต่ง และนักเรียนโรงเรียนนั้นอีก 4 รายที่อาจช่วยคนร้ายชี้ตัวครูปาตีเพื่อแลกกับค่าตอบแทน
เหตุสะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ครูปาตีใช้ภาพการ์ตูนพระนบีมูฮัมหมัดของศาสนาอิสลามเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยเขาเคยสอนในลักษณะเดียวกันนี้ในคาบวิชาประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ด้วยเช่นกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พร้อมแนะให้นักเรียนที่เป็นมุสลิมสามารถลุกออกจากห้องได้หากรู้สึกว่าการเรียนการสอนในคาบนี้กระทบต่อความเชื่อความศรัทธาของพวกเขา เนื่องจากในศาสนาอิสลาม การมีรูปภาพ รูปเคารพของพระนบีมูฮัมหมัดและพระอัลเลาะห์เจ้าถือเป็นสิ่งต้องห้ามและอาจก่อให้เกิดความขุ่นเคืองได้
โดยประเด็นเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ผูกโยงอยู่กับศาสนาอิสลามเปิดพื้นที่ให้ถกเถียงกันบ่อยครั้งในสังคมฝรั่งเศสจนบานปลายกลายเป็นเหตุบุกยิงสำนักงานชาร์ลี แอบโด (Charlie Hebdo) นิตยสารล้อเลียนชื่อดังของฝรั่งเศสที่เผยแพร่ภาพการ์ตูนของพระนบีมูฮัมหมัดเมื่อต้นปี 2015 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 12 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 11 ราย ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสที่นับถือศาสนาอิสลามเผยว่าพวกเขาเองก็ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุจากเชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อซึ่งฝังรากลึกอยู่ในสังคมประเทศนี้
ชาวฝรั่งเศสหลายหมื่นคนทั่วประเทศร่วมเดินขบวนรำลึกถึงการจากไปของครูปาตี และปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยพิธีรำลึกจะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ กรุงปารีส ในวันพุธที่ 21 ตุลาคมนี้
ภาพ: Bertrand Guay / AFP
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: