อาคม เติมพิทยาไพสิฐ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามคาด หนุนหุ้นไทยปิดบวก 5.45 จุด โบรกฯ คาดจะเร่งกระตุ้นจับจ่าย -โครงสร้างพื้นฐานรัฐเป็นงานด่วน แต่ยังห่วงเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวทรุดเป็นอุปสรรค พร้อมเปิดโผหุ้นรับประโยชน์โครงการรัฐเดินหน้า ค้าปลีก-รับเหมาฯ เพียบ
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ข้อมูลจากเว็บไซต์ราชกิจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยมีใจความว่าพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562 แล้วและแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 และประกาศครั้งสุดท้ายลงวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2563 นั้น
บัดนี้นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลาออกจากตำแหน่งสมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทนตำแหน่งที่ว่าง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
หุ้นไทยปิดบวกขานรับทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ที่ระดับ 1,242.99 จุด เพิ่มขึ้น 5.45 จุด หรือ 0.44% มูลค่าการซื้อขาย 39,459 ล้านบาท
โดยสัดส่วนซื้อขายของนักลงทุนแต่ละกลุ่มมีดังนี้ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 76.94 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 82.74 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,115.15 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 955.47 ล้านบาท
คาดกระตุ้นจับจ่าย-โครงสร้างพื้นฐานเป็นงานด่วน
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด ออกบทวิเคราะห์ว่า การรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเมื่อมีขุนคลังผลักเศรษฐกิจแล้ว เชื่อว่าน่าจะช่วยให้การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ๆ ทำได้มีประสิทธิภาพ และเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเอกชนและต่างชาติ
บล.เอเซียพลัส เชื่อว่า โครงการที่รัฐมนตรีใหม่จะเร่งผลักดันคือการพิจารณามาตรการกระตุ้นการบริโภคของ ศบศ. ในวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ซึ่งคาดว่าครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลาง-บน เช่น ช้อปช่วยชาติ หรือ ชิมช้อปใช้ และถ้า ศบศ. เห็นชอบมาตรการดังกล่าวจริง เชื่อว่าจะช่วยสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก เช่น CRC, CPN, SPVI และ CPALL
นอกจากนี้การผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากอาคมเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงเชื่อว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่น่าจะเดินหน้าผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นลำดับถัดไป
ขณะเดียวกันคาดว่าโครงการลงทุนที่สามารถประมูลได้ทันภายปีนี้คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์) วงเงิน 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างประกวดราคา และมีกำหนดยื่นซองประมูลช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2563 ก่อนที่จะเซ็นสัญญา และเริ่มก่อสร้างในช่วง 1Q64 ส่วนโครงการอื่นๆ เช่น รถไฟทางคู่เฟส 2, รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ), รถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย (บางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน) น่าจะเห็นการเปิดประมูลในปี 2564 กระแสความคืบหน้าของการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนขึ้น ประเมินเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เลือก CK เป็น Top Pick ของกลุ่ม
หวั่นเจองานหนัก หลังเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวยังไม่พื้น
อดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีการแต่งตั้ง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น เพราะมีบุคคลเข้ามาขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ
โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะออกมาในชุดแรก คาดว่าจะเป็นมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนชนชั้นกลาง จากก่อนหน้านี้ที่ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เคยเกริ่นว่าจะมีมาตรการช่วยกำลังซื้อของกลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจะเป็นความท้าทายอย่างมากให้กับทีมเศรษฐกิจชุดนี้ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งการใช้มาตรการ-นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเม็ดเงินที่ถูกใช้ออกมาเป็นจำนวนมากและปัญหาสภาพคล่องในประเทศไม่ได้หมุนเวียนเหมือนเดิมเพราะประชาชนมีหนี้เพิ่ม ภาคการท่องเที่ยวที่ยังชะลอตัวเป็นปัจจัยกดดัน
สำหรับมาตรการกำลังซื้อที่จะออกมา คาดว่าอาจช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงบางส่วน เช่น กลุ่มค้าปลีก โดยแนะนำซื้อหุ้น COM7 เนื่องจากได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอุตสาหกรรม 5G ที่เข้ามา ด้านกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ระยะสั้นประเมินไว้ที่ 1,220-1,250 จุด
“มาตรการที่ออกมาหากจะช่วยหนุนกลุ่มไหน คงต้องเป็นกลุ่มค้าปลีกอยู่แล้ว แต่คงไม่ได้เป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันมาก ซึ่งเราต้องมองปัจจัยบวกอื่นร่วมกันด้วย เช่น ค้าปลีกอย่าง COM7 ซึ่งมีเรื่องการเติบโตผลประกอบการและ 5G ช่วยหนุนประกอบกัน” อดิศักดิ์กล่าว
เปิดประวัติ อาคม จากเจ้าหน้าที่สภาพัฒน์สู่เจ้ากระทรวง
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ปัจจุบันอายุ 64 ปี เกิดวันที่ 25 กันยายน 2499 ที่จังหวัดศรีสะเกษ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2520 และระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ จากวิทยาลัยวิลเลียม สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2526
- เข้ารับราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
– เป็นผู้อำนวยการกองวิเคราะห์และประมาณการเศรษฐกิจในระหว่างปี 2539-2542
– เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและแผน (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 9 ชช.) ในปี พ.ศ. 2542-2543
– เป็นผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) (2543-2546)
– เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (2546-2547)
– เป็นรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2547
– เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2553 - เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อมาในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน ได้ลาออกจาก สนช. เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ และตำแหน่งทางการเมืองควบคู่กัน ในปี 2557
- เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แทน พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง ในเดือนสิงหาคม 2558 ยื่นลาออกจากข้าราชการในตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในเดือนตุลาคม 2558
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
เรียบเรียง: ประน้อม บุญร่วม