ดูว่าเหมือนการทำภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวและเบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์ระดับตำนานจะกลายเป็นอีกหนึ่งเนื้อหาที่ผู้กำกับยุคนี้ให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Mank ของ เดวิด ฟินเชอร์ ที่จะเล่าเรื่องการต่อสู้ถกเถียงกันระหว่าง เฮอร์แมน เจ. แมนคีวิกซ์ มือเขียนบท และ ออร์สัน เวลเลส ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Citizen Kane (1941) หรือ The Big Goodbye ที่จะเล่าเบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Chinatown (1974) ของ โรมัน โปลันสกี ซึ่งจะได้ เบน แอฟเฟล็ก มากำกับ และล่าสุดกับ Francis and the Godfather ที่จะเล่าถึงเบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์แก๊งสเตอร์ระดับตำนานอย่าง The Godfather (1972)
Francis and the Godfather จะกำกับโดย แบร์รี เลวินสัน ผู้กำกับรุ่นใหญ่ที่เคยชนะรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Rain Man (1988) โปรดิวซ์โดย ไมค์ มาร์คัส, ดัก แมนคอฟฟ์ และ แอนดรูว์ สพอลดิง จาก Echo Lake Entertainment ร่วมกับ เควิน ทูเร็น, จอนเลวิน และ เจสัน ซอสนอฟฟ์ จาก Baltimore Pictures ส่วนทางด้านนักแสดงก็จะได้ดารามากฝีมืออย่าง ออสการ์ ไอแซก (Inside Llewyn Davis, Star Wars Trilogy) มารับบทนำเป็น ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา พร้อมสมทบด้วย เจค จิลเลนฮาล (Brokeback Mountain, Nightcrawler, Spiderman: Far From Home) ในบท โรเบิร์ต อีแวนส์ อดีตผู้บริหารของ Paramout Pictures สตูดิโอผู้สร้าง The Godfather
โดยเนื้อเรื่องหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าถึงขั้นตอนการผลิตภาพยนตร์รวมไปถึงเบื้องหลังต่างๆ ของ The Godfather อาทิ การขัดแย้งกันระหว่าง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ที่ตอนนั้นอายุ 31 ปี กับ โรเบิร์ต อีแวนส์ ผู้ไม่อยากแบกรับความเสี่ยง เลือกให้ มาร์ลอน แบรนโด มารับบทนำใน The Godfather เพราะคิดว่ามาร์ลอนไม่สามารถดึงดูดผู้ชมได้ และกลัวจะทำให้ภาพยนตร์เจ๊ง เนื่องจาก ณ เวลานั้นเขาไม่ใช่นักแสดงที่โด่งดังและยังไม่เคยมีผลงานเด่นๆ มาก่อน รวมถึง อัล ปาชิโน ที่เป็นนักแสดงโนเนมในตอนนั้นด้วยเช่นกัน
“ภาพยนตร์ที่กำกับโดย แบร์รี เลวินสัน ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ตาม ผมคิดว่ามันมีความน่าสนใจอยู่เสมอ และมันจะคุ้มค่าแก่การรอคอยอย่างแน่นอน!” ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา กล่าวถึงโปรเจกต์ภาพยนตร์ Francis and the Godfather
The Godfather เป็นภาพยนตร์แก๊งสเตอร์แนวดราม่าอาชญากรรมชั้นครูที่ใครหลายคนยกขึ้นหิ้ง สร้างจากนิยายขายดีในชื่อเดียวกันของ มาริโอ้ ปูโซ นักเขียนชาวอเมริกัน โดยมันประสบความสำเร็จมากมายทั้งด้านคำวิจารณ์ รางวัล และรายได้
ตัวภาพยนตร์ได้รับคะแนนรีวิวบนเว็บไซต์ยอดฮิตอย่าง IMDb สูงถึง 9.2 เต็ม 10 คะแนน ได้คะแนนคำวิจารณ์ที่เป็นมะเขือสดบนเว็บ Rotten Tomatoes สูงถึง 98 เปอร์เซ็นต์ทั้งจากเหล่านักวิจารณ์ (99 คน) และคนดู (มากกว่า 730,000 คน) อีกทั้งยังชนะรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม รวมถึงรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 246 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ด้วยความสำเร็จขนาดนี้ จึงทำให้ทางทีมงานตัดสินใจสร้างภาคต่อออกมาในภายหลัง ได้แก่ The Godfather Part II (1974) และ The Godfather Part III (1990) ซึ่งปัจจุบันภาพยนตร์ชุด The Godfather ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไตรภาคที่ดีที่สุดตลอดกาล
ภาพ: Jamie McCarthy / Getty Images & Vera Anderson / WireImage
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: