ในโลกฟุตบอลนั้นมีการพูดกันว่าคนอย่าง มาร์เซโล บิเอลซา ไม่เคยให้ทีมไหนเลือก แต่เขาจะเลือกเองว่าอยากจะทำงานกับใคร
ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อ อันเดรีย ราดริซซานี เจ้าของสโมสรลีดส์ ยูไนเต็ด สอบถามไปทางผู้อำนวยการสโมสรอย่าง วิกเตอร์ ออร์ตา ว่าใครควรจะเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ ‘ยูงทอง’ แทนที่ของ พอล เฮคกิงบอตทอม และได้รับคำตอบว่า ‘บิเอลซา’ จะทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
เพราะการจะทาบทามกุนซือระดับโลกที่เป็นเหมือนปรมาจารย์ที่ผู้คนในวงการนับถือมาคุมทีมดังในอดีตที่ตกต่ำในลีกรองของวงการฟุตบอลอังกฤษมายาวนานนั้นเป็นเรื่องที่บ้าบอ
“แต่ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้” ออร์ตาเองก็ยอมรับ
เพียงแต่สิ่งที่ราดริซซานีบอกต่อนั้นกลับทำให้ผู้อำนวยการสโมสรต้องประหลาดใจ และมีกำลังใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“แล้วทำไมคุณไม่ลองดูก่อน?”
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือการติดต่อและพูดคุยกันอย่างยืดเยื้อยาวนานระหว่างทางด้านออร์ตา และบิเอลซา ซึ่งใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าที่คลื่นของสองฝ่ายจะตรงกัน ในที่สุดกุนซือผู้เป็น ‘คุรุ’ ของวงการก็ตอบรับข้อเสนอที่จะมาคุมทีมลีดส์ ยูไนเต็ด
โดยเงื่อนไขสุดท้ายที่บิเอลซาเรียกร้องจากคู่เจรจา คือการอัปเกรดศูนย์ฝึกซ้อมที่ธอร์ป อาร์กไปอีกขั้น
“ถ้าคุณรับปากจะทำมัน ผมก็เอาด้วย”
ออร์ตา และแองกัส คินเนียร์ ประธานบริหารสโมสรของลีดส์รับปากตามนั้น โดยที่พวกเขาเองก็ลุ้นด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่ากุนซือจอมศิลปินจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากลางคันหรือไม่
เพียงแต่คนอย่างบิเอลซา คำไหนคำนั้น
วันที่ 14 มิถุนายน 2018 โลกฟุตบอลก็ได้ข่าวชวนตะลึง – มาร์เซโล บิเอลซา เซ็นสัญญาคุมทีมลีดส์ ยูไนเต็ด
ไม่มีประนีประนอม
สไตล์การทำงานของบิเอลซา เป็นที่รู้กันดีว่าเหมือนคนบ้า จนทำให้เขาได้รับสมญาว่า ‘El Loco’ (ก็คือคนบ้านั่นแหละ)
คนบ้าในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ากุนซือชาวอาร์เจนไตน์จะเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จับอารมณ์ไม่ถูก หรือฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย แต่หมายถึงการทำงานอย่างจริงจัง จับจด ใส่ใจในทุกรายละเอียด
หนึ่งในตำนานที่เล่ากันไม่รู้เบื่อคือช่วงแรกของการทำงานในทีมนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ ที่เขาขับรถตระเวนไปทั่วประเทศด้วยระยะทางรวมมากกว่า 5,000 ไมล์ด้วยรถ Fiat 147 (เพราะกลัวเครื่องบิน) เพื่อติดตามดูฟอร์มการเล่นของนักเตะดาวรุ่งชั้นยอดกว่า 3,000 คน และชวนมาคัดตัวเข้าทีม
ในกลุ่มนักเตะที่บิเอลซาค้นพบมี เมาริซิโอ โปเชตติโน ที่ต่อมากลายเป็นดาวเตะระดับทีมชาติอาร์เจนตินา และเป็นหนึ่งในสุดยอดกุนซือคนรุ่นใหม่ของวงการฟุตบอลในปัจจุบัน
สิ่งนี้สะท้อนถึงคุณค่าในการทำงานในฉบับของบิเอลซา ผู้ไม่ยอมประนีประนอมต่อสิ่งใดทั้งสิ้นจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
ด้วยทัศนคติแบบนี้ในการทำงาน ทำให้บางครั้งการร่วมงานกับบิเอลซาก็เป็นเรื่องยาก ลองจินตนาการว่าหากเราเป็นนักฟุตบอลทีมลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ต้องมีตาลุงคนหนึ่งที่ดูท่าทางเชยๆ มาคอยสอนด้วยลีลาท่าทางพิลึกๆ และที่สำคัญต้องพูดผ่านล่ามด้วยเพราะสื่อสารเองไม่ได้ ซึ่งพยายามทำเท่าไรแล้วก็ยังไม่ถูกใจอยู่นั่นแหละ
สถานการณ์แบบนี้มันเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะยอมรับและนับถือ
แต่โชคดีสำหรับลีดส์ที่บิเอลซาก้าวผ่านอุปสรรคสำคัญในเรื่องของการมัดใจลูกทีมได้ไม่ยาก แข้งยูงทองให้ความนับถือและพยายามทำตามในสิ่งที่บิเอลซาพยายามสอนพวกเขาอย่างเต็มที่
ถ้านักเตะคนไหนทำตามเป้าหมายที่กำหนดไม่ได้ เช่น นำ้หนักไม่ได้ตามเป้า ก็จะไม่ได้ลงเล่น หรือถ้าซ้อมแล้วตัวเลขในการวิ่งไม่ได้ตามเป้าก็จะไม่ได้เล่น ซึ่งจะมีเงื่อนไขยิบย่อยเหล่านี้อีกมากมายที่เป็นดัชนีชี้วัด และเป็นตัวเร่งให้ทุกคนในทีมต้องพยายามเต็มที่
ผลที่ได้คือนักเตะในทีมลีดส์ทุกคนค่อยๆ พัฒนาไปสู่การเป็นผู้เล่นในระดับที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
คาลวิน ฟิลลิปส์ กลายเป็น ‘ปีร์โลแห่งยอร์กเชียร์’, เลียม คูเปอร์ กองหลังที่ย้ายมาจากเชสเตอร์ฟิลด์ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว และถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เลียม ลีกวัน’ ตอนนี้กลายเป็นกัปตันทีมที่กำลังจะได้พาลีดส์ขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
คูเปอร์ เข้าคู่กับเบน ไวต์ได้อย่างลงตัวในแนวรับ และทำให้พวกเขามีผลงานในการเก็บคลีนชีตได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97
ความจริงไม่ใช่เฉพาะนักเตะเท่านั้น กับผู้บริหารที่ดึงตัวเขามาอย่างออร์ตา บิเอลซา ก็ไม่เคยลดราวาศอกให้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นที่รู้กันในสโมสรว่าจะได้ยินบทสนทนาที่เผ็ดร้อนและฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นการถกเถียงกันตามประสาละตินระหว่างออร์ตาและบิเอลซา ที่น่ากลัวราวกับว่าจะต้องแตกหักและมีคนใดคนหนึ่งที่ต้องไป
แต่เมื่อบทสนทนาจบลงทั้งคู่ก็พร้อมจะจบ ให้อภัย ลืมทุกสิ่ง และช่วยกันหาทางทำให้ทีมก้าวไปข้างหน้าต่อ
Aquí Marcelo Bielsa cuenta como preparaba esa final de cooa contra el Barcelona.
Tambien lo que me gusta que él suele decir: Si debutas a los jóvenes no es para que fracasen lo hacen para que triunfen.
Que tan diferente es vs lo que hacía Valverde con el Barcelona. pic.twitter.com/7ywsxUPcjs— Timmy (@Timmy_eb) July 20, 2020
พรีเซนเทชันในตำนานที่บิเอลซาเปิดให้ผู้สื่อข่าวได้ชม และฟังรายละเอียดทั้งหมด
จากจำเลยสู่ฮีโร่
หนึ่งในเหตุการณ์อื้อฉาวที่สุดในชีวิตของกุนซือผู้นี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อเขาถูกกล่าวหาจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งขณะนั้นเป็นนายใหญ่ทีมดาร์บี เคาน์ตี ว่าโดนทีมงานของบิเอลซาลอบมาสอดแนมดูการฝึกซ้อม
เรื่องครั้งนั้นถูกเรียกขานกันว่า Spygate และทำให้ภาพลักษณ์ของกุนซือคนซื่อเสียหายอย่างมากมายมหาศาล
แต่แทนที่เรื่องนี้จะ ‘ทำลาย’ ตัวของบิเอลซาจนไม่เหลือที่ยืนในสังคมลูกหนัง ความจริงใจของเขากลับทำให้วงการฟุตบอลได้หันมามองเขาใหม่ด้วยความเข้าใจมากขึ้น
ในการแถลงการณ์ข่าวแบบเร่งด่วนในวันที่ 16 มกราคม 2019 ซึ่งแฟนๆ กลัวว่ากุนซือชาวอาร์เจนไตน์จะอำลาทีมไป ในทางตรงกันข้าม บิเอลซาได้เชิญผู้สื่อข่าวมารับฟังคำชี้แจงของเขา แต่มันไม่ใช่แค่การชี้แจงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นธรรมดาๆ หากแต่มันเป็นเหมือนการเปิดชั้นเรียนลูกหนัง แสนพิเศษ
บิเอลซา เปิดพรีเซนเทชันที่กลายเป็นตำนาน โดยในนั้นมีข้อมูลของทีมทุกทีม นักฟุตบอลทุกคน โดยที่มีรายละเอียดทุกอย่างแบบละเอียดยิบว่าทีมไหนใช้ระบบการเล่นแบบไหน มีการเปลี่ยนแปลงแผนการเล่นในทีมหรือไม่ นักฟุตบอลคนไหนจะได้ลงสนามบ้าง เล่นตำแหน่งไหน
ลึกไปจนถึงสัญญาณมือในการเตะมุมว่าถ้าทำสัญญาณมือแบบนี้ลูกจะเปิดแบบไหนและบอลจะตกลงที่ตรงไหน
ข้อมูลนี้เกิดจากการรวบรวมของทีมงานที่ทำงานส่วนนี้ถึง 20 คน และใช้เวลาในการวิเคราะห์เฉพาะพรีเซนเทชันที่นำเสนอในวันนั้นถึง 360 ชั่วโมง
เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับเป็น Big Data ของเกมฟุตบอล ซึ่งแม้ความจริงจะไม่ใช่ของใหม่ในวงการ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีได้ย่อโลกเข้ามาทำให้สโมสรฟุตบอลมีระบบการ Scout ที่สามารถเจาะลึกข้อมูลพวกนี้ได้แบบละเอียด
แต่ถ้าคิดกลับกันว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่บิเอลซาทำมานานแล้ว ทำมาตลอดชีวิตตั้งแต่ในยุคที่ยังไม่มีใครจะใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดนี้ มันชวนให้รู้สึกทึ่งขึ้นไปอีก
ที่สำคัญสำหรับความผิดที่บิเอลซาทำไป ซึ่งแม้เขาได้พยายามชี้แจงว่ามันเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ ในโลกของเขาที่ใครๆ ก็ทำแบบนี้ แต่ที่สุดแล้วเขา ‘ขอโทษ’ และให้สัญญากับทุกคนว่า ‘จะไม่ทำอีก’
จากที่จะเป็น ‘จำเลย’ วันนั้นบิเอลซากลายเป็น ‘ฮีโร่’ คนใหม่ที่ได้หัวใจของทุกคนทันที
ลีดส์พ่ายต่อดาร์บี ในเกมเพลย์ออฟรอบรองชนะเลิศปีที่แล้ว
ก่อนจะได้สมหวังในปีนี้ และเกมสุดท้ายของฤดูกาล พวกเขาเอาชนะดาร์บี เคาน์ตี ลบความเจ็บปวดทั้งหมดได้
ภาพ: @LUFC
เปลี่ยนความสูญเสียเป็นความหวัง
ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ลีดส์พบพานกับความเจ็บปวดมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ชนิดที่การรอคอยแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีของลิเวอร์พูลนั้นเป็นเหมือนนิทานก่อนนอนเลยทีเดียว
ลองจินตนาการว่าหากครั้งหนึ่งทีมที่มีเกียรติประวัติยิ่งใหญ่ยาวนาน เป็นแชมป์ดิวิชัน 1 ทีมสุดท้าย มาจนถึงการสร้างทีมยุคใหม่ที่อุดมไปด้วยผู้เล่นดาวรุ่งอนาคตไกล ทีมที่มีสไตล์การเล่นที่สวยงาม ทุกอย่างควรจะดูสดใส แต่ในเวลาไม่นานทุกอย่างที่สร้างมานั้นได้พังทลายลงไปหมด
จากที่เคยทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลีดส์ต้องกระเด็นตกชั้นไปสู่ลีกระดับที่ 2 หลังจบฤดูกาล 2003-04 (ในปีที่อาร์เซนอลสร้างตำนาน The Invincibles) จากนั้นพวกเขาต้องหาทางลดภาระหนี้สินของสโมสรด้วยการขายสนามเอลแลนด์ โรด ที่ไม่ได้มีความหมายในฐานะของสนามแข่ง แต่ยังเป็น ‘บ้าน’ และเป็น ‘หัวใจ’ ของชาว The Whites ทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับได้
ลีดส์เกือบจะได้กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปี 2006 ภายใต้การนำของ เควิน แบล็กเวลล์ แต่พวกเขาก็พ่ายในเกมนัดชิงเพลย์ออฟต่อวัตฟอร์ด 0-3 ที่มิลเลนเนียม สเตเดียม
จากที่เกือบจะกลับมาได้ หลังจากนั้นลีดส์ดำดิ่งลงไปในความมืดมนอนธการลึกขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาไม่มีปัญญาใช้หนี้สินมหาศาล ถูกปรับ 10 แต้มและต้องหล่นไปสู่ลีก วัน หรือฟุตบอลในระดับดิวิชัน 3 ของอังกฤษเป็นครั้งแรกของสโมสรในรอบ 38 ปีนับตั้งแต่ได้เป็นแชมป์ดิวิชัน 1 เมื่อปี 1992
แม้ทีมจะกระเตื้องขึ้นบ้างด้วยการกลับมาสู่เดอะแชมเปียนชิป ในปี 2010 และเคยได้สิทธิ์เพลย์ออฟอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลว
สตาร์มากมายที่ทีมปั้นมาต่างก็ถูกดูดตัวไปจากทีมไม่ว่าจะเป็น เจอร์เมน เบ็กฟอร์ด (ผู้ทำประตูชัยใน ‘สงครามกุหลาบ’ ด้วยการบุกล้มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชัยชนะอันลือลั่นเมื่อฤดูกาล 2009-10 ที่เรียกกันว่า Beckford End), จอห์นนี ฮาวสัน, โรเบิร์ต สนอดกราสส์, ฟาเบียง เดลฟ์ และอีกมากมาย
กระทั่งคนอย่างบิเอลซาเองก็ต้องประสบชะตากรรมที่ไม่แตกต่างกัน โดยจากที่เคยทำผลงานได้ดี ลีดส์เจอกับช่วงฟอร์มตกหลังเหตุการณ์ Spygate แต่ก็ไม่เท่ากับการพลาดในช่วงปลายฤดูกาล จนทำให้หมดสิทธิ์ได้เลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ
ที่เจ็บกว่านั้นคือการที่ไปพ่ายในรอบเพลย์ออฟต่อดาร์บี เคาน์ตี ทีมที่กลายเป็นอริกันจากเรื่องสปาย
ตอนนั้นแม้แต่นักเตะในทีมหรือผู้บริหารก็ไม่รู้ว่าบิเอลซาจะอยู่กับพวกเขาต่อไปหรือไม่ และทำให้ชาวลีดส์ยิ่งวิตกหนักกว่าเดิมว่าขนาดภายใต้การนำของกุนซือระดับโลกอย่าง El Loco พวกเขาก็ยังเลื่อนชั้นไม่สำเร็จ หรือพวกเขาจะถูกสาปให้อยู่ในลีกล่างตลอดไป
แต่แทนที่จะใช้ ‘อารมณ์’ นำหน้า บิเอลซากลับใช้ ‘เหตุผล’ ในการหารือ โดยการประชุมกันหลังจบฤดูกาลซึ่งมีเขา, ออร์ตา, คินเนีย และราดริซซานี สิ่งที่กุนซือชาวอาร์เจนตินาได้นำเสนอต่อทุกคนคือรายงานสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลแรกของเขาในเอลแลนด์ โรดอย่างละเอียดยิบ (ตามสไตล์)
เขาพยายามชี้ให้เห็นถึงจำนวนโอกาสที่ทีมพลาดไป ซึ่งเพื่อจะทำให้ทีมกลับมาเลื่อนชั้นให้ได้อีกครั้ง บิเอลซามองว่าลีดส์จำเป็นต้องทำ 3 สิ่งด้วยกัน
การจบสกอร์ที่ดีขึ้นหน้าปากประตู การยืมตัวผู้เล่นที่ดีขึ้น และลดอาการบาดเจ็บของผู้เล่นลง
โดยอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเขาอยากสร้างบรรยากาศในห้องแต่งตัวที่ดีกว่าเดิม ซึ่งเพื่อสิ่งนี้ทำให้เขาโน้มน้าวให้บอร์ดบริหารปล่อยตัว ปอนตัส ยานส์สัน ที่มีส่วนในการทำให้บรรยากาศในทีมเสียออกไป และตัวเขาเองก็ยังปลดล่ามชาวฝรั่งเศสของเขา ซาลิม ลัมรานี ด้วยอีกคน
ที่ต้องปลดล่ามออกเพราะบิเอลซารู้สึกว่าล่ามกำลังทำตัวใกล้ชิดกับนักฟุตบอลมากจนเกินความจำเป็น ซึ่งเริ่มทำให้เขาและลูกทีมมีรอยแยกระหว่างกัน (โดยหลังจากโดนปลด ลัมรารีได้ออกหนังสือเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับบิเอลซาด้วย
สิ่งสุดท้ายที่บิเอลซาเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ทีมได้กลับมาเลื่อนชั้นคือ ‘โชค’ อีกนิดหน่อย
จบการประชุมวันนั้นทางด้านผู้บริหารทุกคนรู้สึกแบบเดียวกัน ว่าพวกเขาจะได้เลื่อนชั้นอย่างแน่นอนด้วยฝีมือของกุนซือคนนี้ เพราะ ‘โชค’ ที่ว่านั้นอยู่ในทีมลีดส์แล้ว
และวันนี้ ‘คนบ้า’ คนนี้ก็ทำให้ความฝันของชาวเมืองที่เฝ้ารอมานานกว่า 16 ปี จนแทบอยากจะเลิกรอได้กลับกลายเป็นความจริง
ไม่ว่าในฤดูกาลหน้าลีดส์ ยูไนเต็ดจะอยู่ตรงไหนของตารางพรีเมียร์ลีก แต่ชื่อของมาร์เซโล บิเอลซา นั้นอยู่ในใจของแฟนๆ ทุกคนไม่ต่างจากตำนานรุ่นก่อนๆ อย่าง บิลลี เบรมเมอร์, ดอน เรวี หรือ โฮเวิร์ด วิลกินสัน
กุนซือคนบ้าผู้น่ารัก!
#Bielsa jumps out of his car leaving Pride Park to greet a disabled #LUFC fan pic.twitter.com/fHZkWRpySo
— Martin Stott (@martinstott) July 19, 2020
บิเอลซาหยุดรถก่อนเข้าสนามไพรด์ พาร์กของทีมดาร์บี ในเกมนัดสุดท้ายเพื่อลงมาพบกับแฟนบอลสาวน้อยผู้พิการคนหนึ่ง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- www.bbc.com/sport/football/53464152
- www.bbc.com/sport/football/53453218
- theathletic.com/1901739/2020/07/18/marcelo-bielsa-the-inside-story-of-a-leeds-love-affair-that-made-dreams-come-true/
- www.theguardian.com/football/2019/jan/17/marceo-bielsa-spygate-powerpoint-leeds-united
- www.thetimes.co.uk/article/punish-marcelo-bielsa-for-spying-but-then-we-must-learn-from-him-s6vx65qt9
- จากความสำเร็จในการนำทีมขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ทำให้เมืองลีดส์ได้ตั้งชื่อถนนในเมืองว่า Marcelo Bielsa Way ซึ่งเป็นถนนเชื่อมจาก Trinity Leeds คอมมูนิตี้มอลล์ของเมืองไปสู่ย่านการค้าในเมือง
- หนึ่งในบทสนทนาแบบบิเอลซากับลูกทีมที่สะท้อนความเป็นตัวตนของเขาคือการที่ครั้งหนึ่งลูกทีมพยายามซ้อมยิงฟรีคิกหลังการซ้อมปกติ แต่โดนเรียกตัวกลับมา ซึ่งนักเตะก็ไม่เข้าใจ “ผมแค่อยากจะซ้อมพิเศษ” ก่อนที่บิเอลซาจะบอกว่า “ถ้าแกซ้อมพิเศษเพิ่มหมายความว่าแกไม่ได้ซ้อมอย่างเต็มที่”
- ความใส่ใจในรายละเอียดของบิเอลซา ถึงขั้นที่มีการเรียกเจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกที่ธอร์ป อาร์กมาคุย โดยหนึ่งในสิ่งที่เขาต้องการคือการให้ปลูกต้นไม้เพิ่ม เพื่อให้ร่มเงาและทำให้ศูนย์ฝึกดูดี รวมถึงการดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่ต่างๆ ในศูนย์ ทั้งหอพัก ไปจนถึงสระว่ายน้ำ และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับนักเตะชุดใหญ่ แต่รวมถึงชุดเยาวชนด้วย
- ก่อนเริ่มฤดูกาล 2019-20 ลีดส์อุ่นเครื่องพรีซีซันกับทีมนอกลีกที่ชื่อฟอเรสต์ กรีน โรเวอร์ส ซึ่งบิเอลซาก็ได้ขอให้สตาฟฟ์บันทึกเกมการแข่งขันในเกมที่ฟอเรสต์ กรีน อุ่นเครื่องของทีมนอกลีกของนอกลีกอีกที จนทำให้ มาร์ก คูเปอร์ ผู้จัดการทีมฟอเรสต์กรีนถึงกับฉงนว่าใครมันอยากจะดูเทปของพวกเขานะ!