พรีเมียร์ลีกอาจจะหลุดมือไปแล้วในฤดูกาลนี้ แต่ ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังเหลือลุ้นในอีก 2 รายการ คือ เอฟเอคัพและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งหากคว้าถ้วยได้ทั้งสองใบ พวกเขาก็จะพิชิตแชมป์ 3 ถ้วยในฤดูกาลนี้
แต่ดูเหมือนว่าเกมในสนามอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดแต่อย่างใดในเวลานี้ เมื่อแมตช์สำคัญที่สุดของฤดูกาลนั้นอยู่นอกสนาม โดยในวันนี้เวลาประมาณ 09.30 น. ตามเวลาในประเทศอังกฤษ อนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) จะประกาศคำตัดสินหลังจากแมนฯ ซิตี้ ตัดสินใจยื่นอุทธรณ์เพื่อคัดค้านบทลงโทษของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรป (ยูฟ่า) ที่ห้ามลงสนามแข่งขันในเกมระดับสโมสรยุโรปเป็นเวลา 2 ปี และลงโทษปรับเงินอีกมหาศาล
โดยในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางด้าน CAS ได้ไต่สวนเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลา 3 วัน ก่อนที่คำตัดสินจะออกมา ฉากจบของเรื่องนี้จะเป็นแบบไหน เรามาลองสรุปเรื่องราวกันแบบย่ออีกครั้ง
ประวัติศาสตร์คดีเรือใบสีฟ้าแบบย่นย่อ
ในวันวาเลนไทน์ (14 กุมภาพันธ์) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้รับดอกไม้ช่อใหญ่จากทางด้านคณะกรรมการอิสระของยูฟ่าในนาม Independent Adjudicatory Chamber of UEFA’s Club Financial Control Body (CFCB) ที่กล่าวหาว่าสโมสรดังของอังกฤษได้กระทำผิดในการปลอมแปลงรายรับที่ได้จากสปอนเซอร์ในรายงานทางการเงินที่ส่งให้ยูฟ่าในระหว่างปี 2012 จนถึง 2016
นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่า แมนฯ ซิตี้ ‘ไม่ให้ความร่วมมือในการสืบสวน’ ด้วย
ด้วยความผิดดังกล่าวทำให้ยูฟ่าตัดสินลงโทษ ห้ามแมนฯ ซิตี้เข้าร่วมการแข่งขันรายการระดับสโมสรยุโรปเป็นเวลา 2 ปี นับจากฤดูกาลหน้า และปรับเงินอีก 30 ล้านยูโร
ทางด้านแมนฯ ซิตี้ คิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมจากการดำเนินคดีครั้งนี้ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อทางด้านอนุญาโตตุลาการกีฬาที่จะอำนาจในการกลับคำตัดสินได้ หากพบว่าฝ่ายที่ถูกลงโทษไม่ได้รับความยุติธรรมจริงตามที่ร้องเรียน
โดยจุดที่ซิตี้พยายามชี้คือ การที่เอกสารที่ยูฟ่ารวบรวมได้มาจากอีเมลที่ถูกแฮ็กหลุดออกไปโดย Football Leaks
ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน (กลางภาพ) เจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ผลการอุทธรณ์จะออกมาหน้าไหนได้บ้าง?
หลังการต่อสู้มาอย่างหนักตลอดช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งประสบปัญหาเรื่องของโควิด-19 ที่ทำให้การต่อสู้คดีเป็นไปอย่างยากลำบาก เช่นเดียวกับทางด้าน CAS ที่ไต่สวนอย่างยากลำบาก แต่ในวันนี้ผลการตัดสินจะออกมาแล้ว
คำถามคือจะออกมาในหน้าไหน? ซึ่งก็เป็นไปได้หลายอย่างหลายทาง
กรณีที่ดีที่สุดสำหรับแมนฯ ซิตี้ คือ การที่พวกเขารอดพ้นข้อกล่าวหาทุกอย่าง ไม่ถูกลงโทษแบนเลยแม้แต่น้อย และไม่ถูกปรับเงินด้วย ซึ่งทางด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่เรือใบ ‘มั่นใจอย่างยิ่ง’ ว่าจะประสบความสำเร็จในการอุทธรณ์
กรณีเลวร้ายที่สุดคือ การที่ CAS พบว่า ซิตี้กระทำผิดและยืนพื้นคำตัดสินเดิม นอกจากสโมสรจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักตามเดิมแล้ว ยังสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของสโมสรที่พยายามสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นสโมสรที่ดีอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ดี การตัดสินอาจจะออกมาในรูปแบบของการลดโทษ หรือการชะลอการลงโทษออกไปก่อนก็ได้เช่นกัน เช่น ลดโทษแบนเหลือกึ่งหนึ่ง (1 ปี) และให้มีผลในฤดูกาลถัดไปแทนที่จะให้มีผลเลยในฤดูกาลนี้
แต่ที่สำคัญคือ ผลการตัดสินที่ออกมาจะมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะกับพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีกฎทางการเงิน Financial Fair Play (FFP) เหมือนกัน แต่แตกต่างกันในรายละเอียดกับทางด้านยูฟ่า
การยืนกรานของแมนฯ ซิตี้ ว่าหลักฐานในคดีนี้มาจากอีเมลนับพันที่ถูกแฮ็ก ดูเป็นการกระทำที่พยายาม ‘ป้ายสี’ พวกเขาให้เสียหาย
อย่างไรก็ดี หาก CAS ยืนกรานว่า สิ่งที่แมนฯ ซิตี้ กระทำ ด้วยการพยายามที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่สโมสรด้วยการใช้เงินทุนของเจ้าของสโมสรที่ร่ำรวยมหาศาลอย่าง ชีค มานซูร์ ผ่านการเป็นสปอนเซอร์ของสโมสร จนทำให้ผ่านเกณฑ์ของกฎ FFP เป็นการกระทำโดย ‘เจตนา’
นั่นหมายถึงทุกความสำเร็จที่ผ่านมาของพวกเขาตั้งแต่ที่ ชีค มานซูร์ เข้ามาเป็นเจ้าของ จะมีเครื่องหมายคำถามทันที
แต่หาก CAS มองว่า ซิตี้ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะ ‘โกง’ และกระทำผิดโดยไม่เจตนา ต่อให้ได้รับบทลงโทษบ้างตามสมควร แต่มันจะกลายเป็น ‘บรรทัดฐาน’ ที่จะทำให้พวกเขาและอาจหมายถึงอีกหลายสโมสรมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สามารถกระทำได้
เป๊ป กวาร์ดิโอลา อาจต้องทบทวนอนาคต หากซิตี้แพ้คดีนี้จริง
สมมติหากซิตี้แพ้อะไรจะเกิดขึ้น
หากซิตี้แพ้คดีตามเดิม สิ่งที่น่าสนใจคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งจะต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน
อย่างแรกคือเรื่องในสนาม คนสำคัญที่สุดที่เป็นหัวใจของทีมคือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะต้องตัดสินใจว่าเขาจะยังทำงานอยู่กับสโมสรที่มีภาพลักษณ์เสียหายแบบนี้ต่อไปหรือไม่
ก่อนหน้านี้เป๊ปบอกว่า เขาพร้อมจะอยู่กับทีมต่อไปจนจบสัญญาในฤดูกาล 2020/21 แต่การที่สโมสรจะไม่ได้เข้าร่วมการแข่งแชมเปียนส์ลีกจนกว่าจะถึงฤดูกาล 2022/23 เป็นอย่างน้อย อาจทำให้แรงจูงใจในการทำงานกับซิตี้ลดน้อยลง
เพราะถ้วยที่เป็นยอดปรารถนาของกุนซือชาวสเปนคือโทรฟีใบใหญ่ของแชมเปียนส์ลีก ที่เขาไม่เคยได้อีกเลยนับตั้งแต่ออกจากบาร์เซโลนามา
ไม่นับเรื่องของความเชื่อมั่นที่เป๊ปพยายามออกตัวปกป้องสโมสรมาตลอด ด้วยการยืนกรานว่า ‘เชื่อ’ ว่าแมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เป็นสโมสรมือไม่สะอาดขนาดนั้น
นอกจากเป๊ปแล้ว ซิตี้ยังต้องเจอความท้าทายในการรับมือกับสตาร์ของทีมอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิง ไปจนถึง เซร์คิโอ อเกวโร ซึ่งนักเตะเหล่านี้นอกเหนือจากรายได้มหาศาลแล้ว ความสำเร็จในเวทีสูงสุดอย่างแชมเปียนส์ลีก ก็เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจของพวกเขา
โดยเฉพาะ เดอ บรอยน์ ที่ปัจจุบันวัยล่วงมาถึง 29 ปีแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเล่นฟุตบอลอาชีพที่เพียบพร้อมด้วยฝีเท้า ประสบการณ์ และกำลังวังชาที่ยังเหลือ
หากซิตี้จะโดนลงโทษจริง อย่างน้อยพวกเขาต้องขอให้ลดเหลือแค่ปีเดียว เพราะอย่างน้อยยังพอมีเหตุผลที่จะทำให้นักเตะเหล่านี้รวมถึงเป๊ปอยู่กับทีมต่อไป
แต่หากเป็น 2 ปีตามเดิม นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ได้
สำหรับเรื่องต่อมาคือเรื่องนอกสนาม ซึ่งก็ไม่ต่างจากในสนาม เพราะหากระยะเวลาของการลงโทษระหว่าง 0-2 ปีนั้นจะมีความแตกต่างอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสปอนเซอร์ของทีม และที่สำคัญที่สุดคือ อย่าลืมว่าพวกเขายังมีกฎ FFP ที่ต้องปฏิบัติตามด้วย ซึ่งการทำให้สโมสรฝ่าวิกฤตช่วงนี้ไปให้ได้เป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวด
ในอีกด้านของการต่อสู้คดี ผู้เชี่ยวชาญเองมองว่า ศึกครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะแมนฯ ซิตี้ เท่านั้นที่แพ้ไม่ได้
กฎ FFP เองก็แพ้ไม่ได้เช่นกัน เพราะหาก CAS ตัดสินเข้าทางทีมอังกฤษ นั่นหมายถึงการที่ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎในปัจจุบันจะไม่เหลือทันที
บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร จะมีอะไรให้พูดถึงกันต่อหรือไม่ ไม่เกินมื้อเย็นวันนี้เราจะได้รู้กัน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2020/jul/12/manchester-city-to-hear-on-monday-if-european-ban-appeal-has-succeeded
- https://www.bbc.com/sport/football/53366098
- สมมติซิตี้แพ้คดี อาจทำให้อันดับของการไปสโมสรยุโรปนั้นไหลลงไปจนถึงที่ 9 ได้เลยทีเดียว แม้ว่าจะเป็นซีนาริโอที่เกิดขึ้นยากหน่อยก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องน่าติดตาม
- เบื้องต้นในโควตาแชมเปียนส์ลีก ทีมในท็อป 5 จะได้ไปทุกทีม (หากซิตี้จบที่ 2 หรือ 3) โดยมีวูล์ฟส์ ทีมอันดับ 6 ในเวลานี้ ได้ลุ้นเป็นทีมที่ 5 หากพวกเขาคว้าแชมป์ยูโรปาลีกได้ในฤดูกาล ทีนี้ถ้าเป็นตามนั้น 3 อันดับต่อไปในลีกอาจจะได้ไปยูโรปาลีก ซึ่งตามอันดับเวลานี้คือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, สเปอร์ส และอาร์เซนอล เว้นแต่ ‘ปืนใหญ่’ จะได้แชมป์เอฟเอคัพ และอันดับต่ำกว่าที่ 8