หากใครยังจำกันได้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว โคลิน เคเปอร์นิก อดีตควอเตอร์แบ็กของทีมอเมริกันฟุตบอล ซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ ไนน์เนอร์ส และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการที่เขาได้แสดงจุดยืนเพื่อต่อต้านความอยุติธรรม ความรุนแรง และการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวสีของสังคมอเมริกันผ่านการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการคุกเข่าขณะที่เพลงชาติกำลังบรรเลงช่วงก่อนเริ่มการแข่งขัน NFL
การกระทำของเคเปอร์นิกคราวนั้นถือเป็นการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอเมริกันเป็นอย่างมาก และนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง มีทั้งฝั่งที่เห็นด้วย พูดยกย่องเชิดชูที่เคเปอร์นิกกล้าออกมาแสดงตัวยืนหยัดต่อสู้ มีทั้งฝั่งที่ไม่เห็นด้วย ประนามการกระทำของเขาและกล่าวหาว่าเคเปอร์นิกเป็นพวกไม่รักชาติ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแส Black Lives Matter ดูเหมือนว่าเรื่องราวของเคเปอร์นิกจะกลับมาได้รับความสนใจและถูกพูดถึงอีกครั้งไม่เว้นแม้ในอุตสาหกรรมความบันเทิงที่ล่าสุดทางสตรีมมิงเจ้าดังอย่าง Netflix ได้ออกมาประกาศสร้างดราม่าซีรีส์ชื่อ Colin in Black & White เพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ โคลิน เคเปอร์นิก ซึ่งเนื้อเรื่องหลักๆ จะฉายให้เห็นภาพชีวิตช่วงแรกและการเติบโตขึ้นมาในฐานะเด็กผิวสีผู้ถูกอุปการะและเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวคนผิวขาว ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับจุดโฟกัสไปยังชีวิตวัยเรียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เคเปอร์นิกกำลังค้นหาตัวเอง เราจะได้เห็นว่าอะไรที่ช่วยเสริมสร้างตัวตนและทำให้ชายคนนี้เลือกเดินทางสู่การเป็นนักอเมริกันฟุตบอล รวมถึงบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเช่นในปัจจุบันด้วย
“พวกเรารู้สึกภูมิใจที่จะได้นำเรื่องราวอันทรงพลังและวิสัยทัศน์อันสร้างสรรค์ที่มีต่อชีวิตของ โคลิน เคเปอร์นิก มาบอกเล่าแก่ผู้คนทั่วโลกให้ได้รับรู้ถึงการใช้ชีวิตในฐานะคนผิวสีในอเมริกา” ซินดี้ ฮอลแลนด์ ประธานบริหารด้านคอนเทนต์ของ Netflix กล่าว
ตัวซีรีส์ทั้ง 6 เอพิโสดจะกำกับโดย เอวา ดูเวอร์เนย์ ผู้กำกับหญิงผิวสีมากฝีมือที่เคยฝากผลงานคุณภาพเอาไว้หลายเรื่อง อาทิ Selma (2014), 13th (2016) และ When They See Us (2019) มินิซีรีส์อาชญากรรมสุดเข้มข้นที่ได้รับคำวิจารณ์อยู่ในเกณฑ์ดีมาก รวมถึงได้เข้าชิงรางวัล Emmy Awards หลายรางวัล และแน่นอนที่สุดว่า โคลิน เคเปอร์นิก ถูกวางตัวไว้ให้มาบอกเล่าเรื่องราวในซีรีส์นี้ด้วยตนเอง
ภาพ: Matt Winkelmeyer / Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: