ถึงแม้ว่า เจอร์เกน คล็อปป์ จะพูดเอาไว้ชัดเจนถึงเป้าหมายแรกที่เขาต้องการจะทำกับลิเวอร์พูล นั่นคือการเปลี่ยนแปลงสโมสรจากคนที่ไม่เชื่อในตัวเองให้กลับมาเชื่อในตัวเองอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าการกระทำจะยากกว่าคำพูดมากมายนัก
1 เดือนแรกที่เข้ามารับตำแหน่งนายใหญ่แห่งแอนฟิลด์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันต้องพบกับความจริงที่เจ็บปวดว่า ความเชื่อมั่นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากแค่ในหมู่นักฟุตบอลที่มีหน้าที่ในการลงสนาม
หากแต่ความรู้สึกนั้นยังได้ลุกลามกัดกินเข้าไปลึกในหัวใจของแฟนบอลอีกด้วย
สิ่งที่ลิเวอร์พูลเป็นในช่วงเวลานั้นคือ นักฟุตบอลในชุดสีแดงเองก็เล่นแบบไม่มั่นใจในตัวเอง ขณะที่แฟนบอลเองก็เหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายที่จะให้การสนับสนุนทีมที่เล่นได้ไม่สมศักดิ์ศรีกับตราสโมสรบนหน้าอกที่เคยเกรียงไกรในวันวาน
คล็อปป์มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2015 ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของเขาประสบความพ่ายแพ้เป็นนัดแรก
ทีมที่ยัดเยียดความปราชัยให้แก่คล็อปป์ในวันนั้นคือ คริสตัล พาเลซ ทีมที่เป็นเหมือนอาถรรพ์สำหรับลิเวอร์พูล ภาพความเจ็บปวดจากเกมที่พวกเขาขึ้นนำ 3-0 แต่สุดท้ายจบลงด้วยการเสมอ 3-3 และเป็นการยืนยันว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2013-14 ได้หลุดมือจากพวกเขาไปยังฝังใจ
พาเลซยังบุกมาเอาชนะได้ที่แอนฟิลด์อีก 3-1 ในช่วงปลายฤดูกาล 2014-15
และ ‘ดิ อีเกิลส์’ ทีมแรกที่เอาชนะลิเวอร์พูลของคล็อปป์ได้ที่แอนฟิลด์ ซึ่งความเจ็บปวดซ้ำซากนี้ทำให้เดอะ ค็อปไม่อาจทนรับไหว คนจำนวนมากถอดใจเดินออกจากสนามหลังจากที่ สกอตต์ แดนน์ ทำประตูนำ 2-1 ให้พาเลซก่อนหมดเวลา 8 นาที
ภาพของค็อปชนที่เดินก้มหน้าออกจากสนามก่อนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายเป็นภาพที่คล็อปป์ยอมรับไม่ไหว
เพราะแม้จะมีกองเชียร์อีกนับหมื่นในสนาม แต่ในความรู้สึกแล้วนายใหญ่ชาวเยอรมันรู้สึกว่าเขาอยู่อย่างเดียวดาย เช่นเดียวกับลูกทีมที่ถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างเดียวดาย
สิ่งที่คล็อปป์คิดก็คือ เขาจะปล่อยให้ลิเวอร์พูลเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ปัญหาไม่ได้อยู่เพียงแค่กับตัวเขาหรือนักเตะในสนาม หากแต่เป็นแฟนบอลผู้เป็นเหมือน ‘จิตวิญญาณ’ ของทีมด้วย ที่เป็นหน่อเนื้อเดียวกัน
“หลังประตูในนาทีที่ 82 ผมเห็นคนมากมายที่เดินออกจากสนาม ผมรู้สึกเดียวดายมากในเวลานี้ พวกเราตัดสินกันไปแล้วว่าเกมมันจบแล้ว ทั้งๆ ที่ในระห่างนาทีที่ 82 จนถึง 94 เราสามารถจะยิงกันได้อีก 8 ประตูก็ได้”
อย่างไรก็ดี คล็อปป์ไม่ได้โทษเพียงแค่แฟนบอลอย่างเดียว เพราะเขารู้ว่าในอีกทางลูกทีมเองก็ไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของแฟนบอลได้เช่นกัน
“พวกเขาก็มีเหตุผล (ที่จะเดินออกจากสนาม) และบางทีอาจจะง่ายกว่าที่จะกลับออกไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่าทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เราก็มีความรับผิดชอบในการที่จะไม่ยอมให้ใครเดินออกจากสนามก่อนที่เสียงนกหวีดสุดท้ายจะดังขึ้น เพราะอะไรมันก็สามารถเกิดขึ้นได้”
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือธรรมเนียมใหม่ที่คล็อปป์นำสิ่งที่นักฟุตบอลเยอรมนีทำในเกมบุนเดสลีกามาใช้
คล็อปป์นำลูกทีมขอบคุณแฟนๆ หลังจบเกมที่หน้าค็อป เอนด์
ลิเวอร์พูลลงสนามพบกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียนที่แอนฟิลด์ ในวันที่ 13 ธันวาคม เกมนี้เป็นเกมที่สนุกตื่นเต้นอย่างมาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำประตูให้หงส์แดงนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 21 แต่ทีมเยือนสามารถตีเสมอได้ไวจากประตูของ เคร็ก ดอว์สัน ในนาทีที่ 30 ก่อนจะแซงนำด้วยประตูของ โจนาส โอลส์สัน ในนาทีที่ 73
เกมน่าจะจบลงด้วยความปราชัยอีกนัดของลิเวอร์พูลเหมือนเรื่องปกติก่อนหน้านี้ แต่แล้วในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 6 ดิว็อค โอริกิ ที่ลงมาแทน เดยัน ลอฟเรน ในนาทีที่ 79 กลับสามารถยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ ทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์ 2-2
หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย คล็อปป์ได้เรียกลูกทีมทุกคนให้มารวมกันและเดินไปขอบคุณแฟนบอลที่ยังยืนหยัดอยู่กับทีมจนถึงวินาทีสุดท้ายและได้รับรางวัลของความพยายามร่วมกัน
การขอบคุณแฟนบอลในวันนั้นได้รับการวิจารณ์อย่างมาก เพราะลิเวอร์พูลไม่ได้ชนะ พวกเขาแค่รอดตัวเฉยๆ แม้กระทั่งลูกทีมหลายคนเองก็ดูไม่เข้าใจในสิ่งที่คล็อปป์ขอให้ทำ
เรื่องนี้คล็อปป์อธิบายในเวลาต่อมาว่า “ในเกมฟุตบอลมีการพูดมาตลอดว่าแฟนบอลคือคนสำคัญ แต่เรากลับไม่ได้ปฏิบัติกับพวกเขาแบบนั้น ดังนั้นเราจึงต้องทำให้มั่นใจได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นจะแข็งแรงพอ เรารู้ว่าถ้าไม่มีพวกเขาเราก็ไม่มีทางจะเล่นได้ในระดับสูงสุด ไม่มีทางเลย เราจำเป็นต้องรู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ และสำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพียงแต่มันเป็นกิจวัตรที่แตกต่างกันระหว่างที่อังกฤษและเยอรมนี
“มีการเข้าใจผิดกันมากในเรื่องเกมกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ผมแค่อยากจะขอบคุณแฟนๆ หลังจบเกม ดังนั้นผมจึงพาลูกทีมเดินไปที่เดอะ ค็อปเพื่อขอบคุณพวกเขา และก็มีการพูดถึงเรื่องนี้กันเยอะ สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาถกเถียงกัน แต่ผมก็ต้องเรียนรู้ว่าสำหรับคนอังกฤษพวกเขาไม่คุ้นชินกับเรื่องนี้”
หลังจากนั้นทุกคนได้ตระหนักในเวลาต่อมาว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของลิเวอร์พูล
อดีตทีมที่ยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอลอังกฤษค่อยๆ ก้าวเดินอย่างแข็งแรง จนถึงวันนี้เวลาผ่านมา 4 ปีครึ่งพวกเขากำลังจะลงสนามพบกับ คริสตัล พาเลซ อีกครั้ง ในเกมนัดที่ 30 ของฤดูกาล 2019-20
โดยที่หากพวกเขาคว้าชัยชนะได้ ก็จะยื่นมือไปคว้าถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกค่อนใบ เพราะต้องการชัยชนะอีกเพียงแค่ 2 คะแนน หรือชัยชนะ 1 นัด หรือเพียงแค่ไม่แพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมถัดไปลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ
“ผมไม่เคยรู้สึกเดียวดายอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น และผมจะไม่รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอีกเมื่อมีสิ่งที่พิเศษเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ตาม”
อาจเป็นเรื่องน่าเสียดายที่โอกาสพิเศษนี้จะไม่มีเดอะ ค็อปสักคนได้เข้ามาอยู่ร่วมกับคล็อปป์และนักเตะลิเวอร์พูลในสนามแม้แต่คนเดียว
แต่สำหรับคล็อปป์ เขารู้ว่าเขาและทีมไม่ได้อยู่อย่างเดียวดายเหมือนในวันนั้นอีกแล้ว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2020/jun/23/jurgen-klopp-liverpool-crystal-palace-premier-league-title
- https://www.theguardian.com/football/2017/apr/23/liverpool-crystal-palace-premier-league-match-report
- https://www.theguardian.com/football/2015/nov/08/jurgen-klopp-liverpool-crystal-palace
- https://www.bbc.com/sport/football/35018987
- https://www.football365.com/news/klopp-explains-that-celebration-after-west-brom-draw
- คริสตัล พาเลซ ยังเป็นทีมอาถรรพ์สำหรับลิเวอร์พูล พวกเขาเป็นทีมสุดท้ายที่บุกมาชนะที่แอนฟิลด์ได้เมื่อเดือนเมษายน 2017 โดยผู้ทำประตูชัยคือ คริสติย็อง เบนเตเก อดีตหัวหอกหงส์แดงเอง
- หลังจากเกมนั้นลิเวอร์พูลไม่แพ้ในบ้านมายาวนาน 55 นัด เป็นการชนะ 45 และเสมอ 10 นัด
- ผู้จัดการทีมคริสตัล พาเลซในวันนี้คือ รอย ฮอดจ์สัน อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในปี 2010 แม้จะได้คุมทีมเพียงครึ่งฤดูกาลก็ตาม
- ในทีมลิเวอร์พูลชุดปัจจุบัน เหลือผู้เล่นจากเกมที่แพ้พาเลซในปี 2015 แค่ 5 คน โดย 2 ตัวจริงในวันนั้นอย่าง อดัม ลัลลานา และ นาธาเนียล ไคลน์ กำลังจะหมดสัญญากับทีม ขณะที่ เดยัน ลอฟเรน, โรแบร์โต เฟอร์มิโน และ ดิว็อค โอริกิ ยังมีบทบาทในทีม