ภายใต้สภาวะที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับการระบาดของเชื้อไวรัสและปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจหลายประเภททั่วโลก บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำด้านพลังงานของไทย มั่นใจว่าจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ และพร้อมที่จะเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง
NPS เป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวลสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และเป็นองค์กรธุรกิจที่ให้ความสำคัญในการสร้างนวัตกรรมด้านพลังงาน ที่เน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติที่หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนโดยตรงแล้ว ยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศด้วย ภายใต้จุดแข็งในการบริหารจัดการเชื้อเพลิง การผลิตทั้งไฟฟ้าและการผลิตเอทานอล ซึ่งได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้มันสำปะหลัง มันเส้น กากน้ำตาล และน้ำตาลทรายดิบเป็นวัตถุดิบได้ ทำให้ NPS สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิปี 2019 สูงขึ้นกว่าปี 2018 ถึง 46%
NPS ยังมีโครงสร้างธุรกิจที่เข้มแข็ง และมีฐานลูกค้าที่มั่นคง จากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าภาคอุตสาหกรรมที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติที่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก และมีแผนขยายงานอย่างต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
แม้ในปี 2020 ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและไอน้ำของ NPS จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 บ้างเล็กน้อย แต่ธุรกิจเอทานอลกลับมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายแอลกอฮอล์เป็นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ประกอบกับการที่โรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับสูตรราคาค่าไฟฟ้าที่ขายให้ กฟผ. เป็นแบบ Feed-in Tariff ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2019 ทำให้ทั้ง 3 ธุรกิจหลักของ NPS ยังคงประสิทธิภาพที่ดี และรักษาระดับการเติบโตของผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง จึงมีกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับการผ่อนชำระหนี้ตามแผนงานที่วางไว้
นอกจากนี้ NPS ยังได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพาณิชย์ ที่จะพิจารณาให้สินเชื่อระยะยาวเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของตลาดหุ้นกู้จากผลกระทบของโควิด-19 ที่อาจมีต่อผู้ออกหุ้นกู้อีกด้วย
ในด้านการขยายธุรกิจระยะต่อไป NPS มีแผนร่วมลงทุนกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) ในสัดส่วน 65:35 ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 560 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่ง NPS ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว โดยทั้งสองสัญญามีระยะเวลา 25 ปี NPS คาดว่าโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2025 และเปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปี 2027
นอกจากนี้ NPS ยังมีแผนเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนทั้งแบบทั่วไปและแบบ Quick Win ในปี 2020 ที่คาดว่าจะเปิดรับซื้อโรงไฟฟ้าทั้งสองประเภท รวม 700 เมกะวัตต์
NPS เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมพลังงาน ปัจจุบันมีโครงสร้างธุรกิจครอบคลุมในสามด้านได้แก่ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและไอน้ำขนาด 726 เมกะวัตต์ ธุรกิจผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรมขนาด 160,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และธุรกิจผลิตเอทานอลกำลังการผลิต 500,000 ลิตรต่อวัน โดยธุรกิจพลังงานทดแทนยังคงได้รับความสนใจทั้งจากนักลงทุนและจากผู้ประกอบการ เพราะเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่มีการเติบโตที่ดี
ด้วยศักยภาพของ NPS ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 25 ปี โดยมี 3 ธุรกิจหลักที่จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน เป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพของรายได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ทั้งหลายต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษ และมองว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต ส่วนจะประสบความสำเร็จและมีผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการประกอบด้วย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์