กลายเป็นเซอร์ไพรส์ของวงการภาพยนตร์ทันที เมื่อ 1917 ภาพยนตร์ที่นำเสนอส่วนหนึ่งของเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ของผู้กำกับ แซม เมนเดส ที่แทบไม่มีใครพูดถึงมาก่อน เพราะเพิ่งเข้าฉายที่สหรัฐอเมริกาในวันที่ 25 ธันวาคม 2019
แต่สามารถคว้ารางวัลใหญ่ ทั้งผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทดราม่าจากเวที Golden Globe Awards 2020 เอาชนะตัวเต็งสำคัญอย่าง The Irishman ของมาร์ติน สกอร์เซซี, Marriage Story ของโนอาห์ บอมบัค และ Joker ของท็อดด์ ฟิลลิปส์ ไปได้แบบเหนือความคาดหมาย
THE STANDARD POP จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเกร็ดข้อมูลที่น่าสนใจ เบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ที่มาแรงที่สุด ก่อนไปรับชม 1917 แบบเต็มๆ พร้อมกันก่อนที่หนังจะเข้าฉายในไทยวันที่ 30 มกราคมนี้
1. 1917 จะพาทุกคนย้อนกลับไปชมหนึ่งในภารกิจสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงปี 1917 ณ ดินแดนตอนเหนือประเทศฝรั่งเศสที่กำลังร้อนระอุ เมื่อพลทหารเบลก และสกอฟิลด์ ต้องเดินทางฝ่าสมรภูมิสุดอันตราย ฝ่ากองทัพเยอรมัน เพื่อไปแจ้งข่าวการยกเลิกภารกิจการโจมตีให้กับทหารที่สแตนด์บายอยู่รับทราบ โดยมีชีวิตของนายทหารฝ่ายพันธมิตร 1,600 นาย รวมทั้งพี่ชายของเบลกเป็นเดิมพัน
2. ตามปกติเรามักจะคุ้นเคยกับภาพยนตร์สงครามที่ใช้ฉากหลังเป็นภารกิจสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 และนอกจากภาพยนตร์สงครามฟอร์มยักษ์ที่พอคุ้นตากันบ้างอย่าง War Horse (2011) ของสตีเวน สปีลเบิร์ก และ They Shall Not Grow Old (2018) ของปีเตอร์ แจ็คสัน เราก็แทบไม่มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่ 1 บนจอภาพยนตร์เท่าไรนัก
แซม เมนเนส
3. แซม เมนเดส คือผู้กำกับฝีมือดีที่เคยคว้ารางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวที Golden Globe Awards มาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง American Beauty (1999), Jarhead (2005) ภาพยนตร์ที่นำเสนอผลลัพธ์แห่งความว่างเปล่าของสงครามได้อย่างเจ็บแสบ รวมทั้งแฟรนไชส์ระดับโลก James Bond 007 ภาค Skyfall (2012) และ Spectre (2015)
ที่ยืนยันได้ว่า แซม เมนเมส คือผู้กำกับคุณภาพที่สร้างผลงานได้อย่างหลากหลาย ถ้ารวมความดราม่าสุดดาร์กที่ดิ่งไปในหัวใจของครอบครัว ‘อเมริกันชน’ ใน American Beauty, มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสงครามใน Jarhead และฉากแอ็กชันเข้มข้นเร้าใจใน James Bond ทั้ง 2 ภาคเข้าด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้ 1917 เป็นภาพยนตร์สงครามที่ครบรสได้ขึ้นไปอีก
4. นอกจากความสามารถที่หลากหลาย แซม เมนเดส ยังพกไอเดียสุดระห่ำ ด้วยการนำเสนอเรื่องราวใน 1917 ด้วยเทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์แบบช็อตเดียวต่อเนื่อง (A One-shot หรือ Continuous Shot Feature Film) ให้คนดูติดตามชีวิตและภารกิจของสองพลทหารอย่างใกล้ชิด ต่อเนื่อง ตามลำดับเหตุการณ์จริง ไม่มีการตัดสลับฉากอื่น ทำให้ได้รับรู้ความกดดัน ความอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ เหมือนได้อยู่ร่วมสมรภูมิเดียวกันจริงๆ
แต่ไม่ได้หมายความว่าถ่ายทำด้วยฉากลองเทกฉากเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ประกอบไปด้วยฉากลองเทกหลายฉาก มาผสมผสานกับเทคนิคการตัดต่อให้ต่อเนื่องเป็นเส้นเรื่องเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่ อเลฮานโดร อินาร์ริตู เคยใช้ใน Birdman (2014) และ Son of Saul (2015) ภาพยนตร์สงครามที่ใช้เทคนิคนี้จนหลายคนรู้สึกกดดันจนทนไม่ไหวมาแล้ว
โรเจอร์ ดีกินส์
5. ด้วยสเกลการถ่ายทำระดับนี้ แซม เมนเดสได้เลือก โรเจอร์ ดีกินส์ มหาเทพแห่งวงการ ‘ผู้กำกับภาพ’ ที่เคยร่วมงานกันมาแล้ว 3 ครั้งใน Jarhead, Revolutionary Road (2008) และ Skyfall
มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับภาพยอดเยี่ยมมาแล้ว 14 ครั้ง จาก The Shawshank Redemption (1994), Fargo (1996), No Country for Old Men, True Grit (2010), Skyfall, Prisoners (2013), Sicario (2015) ฯลฯ รวมทั้ง Blade Runner 2049 (2017) ที่ทำให้เขาคว้าตุ๊กตาทองมาครองได้สำเร็จ
ถ้านับเฉพาะตอนนี้ โรเจอร์ ดีกินส์ สามารถคว้ารางวัลภาพยอดเยี่ยมไปได้มากถึง 9 รางวัล จาก 11 รางวัล ที่ประกาศผลออกมาแล้วตอนนี้ และเขาไม่น่าพลาด ถ้า Golden Globe Awards มีพื้นที่ให้กับรางวัลนี้ และมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะได้ขึ้นไปรับรางวัลนี้อีกครั้งบนเวทีออสการ์ ที่ประกาศผลในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2020 ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะ
6. ก่อนการถ่ายทำ ทีมงานและนักแสดงทั้งหมดซักซ้อมตำแหน่งการยืน วิ่ง กระโดด เคลื่อนกล้องกันเป็นอย่างดีในสตูดิโอขนาดใหญ่ ที่จะมีการจำลองฉาก (ที่ใช้ลังกระดาษแทนสภาพภูมิประเทศ) ทั้งหมดเอาไว้ชนิดที่พลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
และเมื่อถึงวันถ่ายทำจริงที่ แซม เมนเดส เลือกโลเคชันในการถ่ายทำเป็นแบบเอาต์ดอร์และต้องเก็บภาพมุมกว้างแบบ 360 องศาทั้งหมด ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้เทคนิคในการจัดไฟช่วยในการถ่ายทำได้
สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงแค่ซ้อมถ่ายทำไปเรื่อยๆ จนกว่าแสงธรรมชาติในตอนนั้นจะเป็นอย่างที่พวกเขาต้องการ และอย่างที่รู้กันว่ามนุษย์ไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้อย่างใจ ทำให้บางครั้งอยู่ๆ เมฆบังพระอาทิตย์ หรือได้แสงที่ต้องการแบบไม่คาดคิด และจะมีแสงแบบนั้นให้พวกเขาเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น พวกเขาต้องทำงานที่ผิดพลาดไม่ได้ ภายในระยะเวลาจำกัด โดยที่ควบคุมอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
7. 1917 ได้ ดีน ชาร์ลส์-แชปแมน ที่สลัดชุดและภาพ ทอมเมน บาราเธียน พระราชาที่ไร้อำนาจในซีรีส์ Game of Thrones มาใส่ชุดทหาร สวมรองเท้าบู๊ต วิ่งหลบห่ากระสุนและดงระเบิด เพื่อทำภารกิจสำคัญที่พลาดไม่ได้ ร่วมกับ จอห์น แมคเคน จาก Captain Fantastic (2016), Marrowbone (2017) และ Ophelia (2018)
นอกจากนี้ยังมีทัพนักแสดงคุณภาพอย่าง ริชาร์ด แมดเดน หรือ ร็อบบ์ สตาร์ก จาก Game of Thrones, โคลิน เฟิร์ธ เจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก The King’s Speech (2010), เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ หรือ ‘หมอแปลก’ แห่งทีม Avengers ที่ถอดผ้าคลุมเวทมนตร์ ใส่ชุดทหารเต็มยศ ฯลฯ มาเสริมทัพให้ภารกิจครั้งนี้เข้มข้นและน่าติดตามยิ่งขึ้นไปอีก
นาทีนี้หลังจาก 1917 สร้างเซอร์ไพรส์บนเวทีลูกโลกทองคำ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าจับตาต่ออีกเช่นกันว่าบนเวทีใหญ่ต่อไปอย่าง ‘ออสการ์’ ที่ใกล้จะเกิดขึ้น แซม เมนเดส จะพาผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาสร้างเซอร์ไพรส์ได้อีกครั้งหรือไม่
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า