- เอกชนสหรัฐฯ ฟ้องศาล กรณีได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยศาลชั้นต้นสหรัฐฯ พิพากษาให้ บริษัท Transpacific Steel LLC ชนะคดีความที่มีต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม 25% บนสินค้าที่นำเข้าจากประเทศตุรกี ซึ่งประกาศในเดือน สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา ได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องคืนเงินภาษีแก่ผู้ที่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม คาดว่าคดีดังกล่าวจะมีการอุทธรณ์ในชั้นศาลต่อไป ซึ่งหากสิ้นสุดด้วยชัยชนะของบริษัท Transpacific Steel LLC อาจส่งผลให้มีการฟ้องร้องในลักษณะเดียวกันเพิ่มขึ้นตามมา
- วานนี้รัฐบาลจีนประกาศเตรียมเดินหน้าปฏิรูปรัฐวิสาหกิจจีนครั้งใหญ่ ภายใต้แผนงาน 3 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งการอนุมัติการร่วมทุนกับเอกชน การใช้กลไกทางตลาดช่วยผลักดันให้เกิดการแข่งขันและประสิทธิภาพ และเพิ่มเติมในส่วนของงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้รัฐวิสาหกิจจีนกลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในอนาคต
- BOJ ยันอัดฉีดต่อเนื่อง ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ประธานธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แถลงข่าวระบุว่าพร้อมจะเดินหน้านโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไปโดยไม่ลังเล หากอัตราเงินเฟ้อไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ระดับ 2% หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% และคงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวไว้ใกล้ระดับศูนย์ นอกจากนี้ BOJ ยังประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงอยู่ในทิศทางการขยายตัวปานกลาง
- สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ระดับอัตราค่าจ้างแท้จริงของสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราการว่างงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การลงมติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนานจากกรณี Brexit ข้างต้นอาจสร้างแรงกดดันต่อการจ้างงานได้ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ ซึ่งมีระดับรายได้ที่ชะลอตัว และเริ่มมีสัญญาณของการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเริ่มเห็นผลในช่วงปี 2020
- ภาคอุตสาหกรรมจีนกำไรดีกว่าคาด หนุนตลาดหุ้นพุ่งต่อเนื่อง วานนี้สำนักสถิติจีน เผยผลกำไรของภาคอุตสาหกรรมจีนประจำเดือนพฤศจิกายนขยายตัว 5.4% (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 593,900 ล้านหยวน ฟื้นตัวขึ้นจากเดือนตุลาคมที่กำไรหดตัว 9.9% (YoY) ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2019 จากภาวะการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนที่กลับมาฟื้นตัวจากแนวโน้มการเจรจาการค้าที่มีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น
สรุปภาพรวมตลาดวานนี้
- ดัชนี Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นและทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง หลังจาก Mastercard ออกมารายงานว่ายอดขายออนไลน์ช่วงเทศกาลก่อนปีใหม่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แสดงถึงภาคบริโภคของสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง นำโดยหุ้น Amazon ที่ปรับตัวขึ้น 4.4%
- ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว รวมไปถึงด้านอุปสงค์น้ำมันที่ยังดีอยู่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ด้านราคาทองคำปรับตัวขึ้นจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยบางส่วน
สหรัฐฯ
- Dow 30 ปิดที่ 28621.39 เพิ่มขึ้น 106 (0.4%)
- S&P 500 ปิดที่ 3239.91 เพิ่มขึ้น 16.53 (0.5%)
- Nasdaq ปิดที่ 9022 เพิ่มขึ้น 69.51 (0.8%)
ยุโรป
- *หยุดทำการ*
เอเชีย
- Nikkei 225 ปิดที่ 23924.92 เพิ่มขึ้น 142.05 (0.6%)
- S&P/ASX 200 ปิดที่ 6794.2 เพิ่มขึ้น 9.1 (0.13%)
- Shanghai ปิดที่ 3007.35 เพิ่มขึ้น 25.47 (0.85%)
- SZSE Component ปิดที่ 10303.72 เพิ่มขึ้น 74.14 (0.72%)
- China A50 ปิดที่ 14139.42 เพิ่มขึ้น 120.47 (0.86%)
- Hang Seng ปิดที่ 27864.21 ลดลง -42.2 (-0.15%)
- Taiwan Weighted ปิดที่ 12001.01 ลดลง -7.12 (-0.06%)
- SET ปิดที่ 1579.03 เพิ่มขึ้น 6.03 (0.38%)
- KOSPI ปิดที่ 2197.93 เพิ่มขึ้น 7.85 (0.36%)
- IDX Composite ปิดที่ 6319.44 เพิ่มขึ้น 13.53 (0.21%)
- BSE Sensex ปิดที่ 41163.76 ลดลง -297.5 (-0.72%)
- PSEi Composite ปิดที่ 7842.28 ลดลง -30.32 (-0.39%)
Commodity
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดที่ 61.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.66 (1.08%)
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปิดที่ 67.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.69 (1.03%)
- ราคาทองคำปิดที่ 1516.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 11.45 (0.76%)
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- InfoQuest
- Bloomberg
- Investing
- CNBC
- Reuters