สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวานนี้ (18 พฤศจิกายน) ว่าอิหร่านมีการปิดระบบอินเทอร์เน็ตและระบบโทรคมนาคมเกือบทั้งหมดทั่วประเทศ ท่ามกลางความพยายามของทางการในการควบคุมเหตุประท้วงและการก่อความรุนแรงที่ปะทุขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา (15 พฤศจิกายน) ภายหลังรัฐบาลอิหร่านตัดสินใจประกาศขึ้นค่าน้ำมันตั้งแต่ 50% จนถึงสูงสุดกว่า 300%
ซึ่งระหว่างการประท้วงมีการเผยแพร่ภาพการก่อจลาจลและเผาทำลายธนาคาร สถานีน้ำมัน และอาคารสำนักงานของรัฐผ่านทางโซเชียลมีเดีย ขณะที่ผู้ประท้วงบางคนตะโกนเรียกร้องให้โค่นล้ม อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน
หน่วยงานเฝ้าระวังการใช้งานอินเทอร์เน็ตระบุว่าการปิดระบบอินเทอร์เน็ตดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา โดย NetBlocks องค์การเฝ้าระวังอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเผยว่ามีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายในอิหร่านเหลืออยู่เพียง 5% จากระดับปกติ ขณะที่หน่วยงานข่าวกรองอินเทอร์เน็ตของบริษัท Oracle ระบุว่าเป็นการปิดระบบอินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิหร่าน
“อิหร่านอยู่ในภาวะออฟไลน์มานานกว่า 52 ชั่วโมงแล้ว หลังรัฐบาลดำเนินการปิดระบบอินเทอร์เน็ต โดยพุ่งเป้าไปยังการประท้วงที่กำลังลุกลาม การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตทั่วอิหร่านหลงเหลือเพียง 5% จากระดับปกติ ทำให้ชาวอิหร่านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก” NetBlocks ทวีตข้อความระบุ
สื่อท้องถิ่นอิหร่านรายงานว่าการตัดสินใจปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตดังกล่าวถูกสั่งการโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลของกลุ่มผู้ประท้วง และป้องกันประชาชนไม่ให้สื่อสารหรือนัดรวมตัวประท้วง
“มันเหมือนกับอยู่ในความมืด ตอนนี้เรารู้แล้วว่าชาวเกาหลีเหนือต้องเจอกับอะไร” นักธุรกิจชาวอิหร่านคนหนึ่งในกรุงเตหะรานกล่าวด้วยความโกรธเคืองรัฐบาล
ปัจจุบันพบว่ามีชาวอิหร่านใช้งานอินเทอร์เน็ตราว 62 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมดกว่า 82 ล้านคน ขณะที่การปิดระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อควบคุมสถานการณ์ประท้วงของอิหร่านครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก โดยในการประท้วงหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2009 ทางการอิหร่านใช้วิธีลดความเร็วการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อป้องกันการประท้วงลุกลาม
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: