“ผมไม่ได้กลัวเรื่องอายุมากขึ้นเลยนะ ผมกลัวที่จะมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชีวิตว่างเปล่า กลัวเวลาผ่านไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำมากกว่า”
คำตอบสั้นๆ ที่ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารส ใช้สรุปชีวิตในวัยย่างเข้า 35 ปี พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่เผยให้เห็นริ้วรอยแห่งกาลเวลาที่เขายืนยันว่าจะไม่มีทางเอาออก และปล่อยให้เป็นหลักฐานของการใช้ชีวิตเอาไว้แบบนี้ดีที่สุดแล้ว
ในช่วงที่ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง ดิว ไปด้วยกันนะ เข้าฉาย (31 ตุลาคม 2562) THE STANDARD POP มีโอกาสได้เข้าไปสำรวจและชวนเขาทบทวนหลากหลายเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งผลงานล่าสุด อายุที่เพิ่มมากขึ้น ความคิดที่เปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการพัฒนาตัวเองในเรื่องการบริหารความสัมพันธ์ที่เคยเป็นจุดอ่อนที่สุดในชีวิต ฯลฯ
ถ้ามองจากรูปลักษณ์ภายนอก เวียร์ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง บุคลิกดี ขึ้นกล้อง เรื่องน้อย พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และยังเป็นนักแสดงที่ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา พูดคำหยาบได้อร่อยปากและเป็นธรรมชาติแบบที่เราเคยรู้จัก
แต่ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น เราสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งคือเวียร์ ‘ช้า’ ลงในทุกๆ อิริยาบถอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเวลาตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์และชีวิต ที่เขาจะหลับตานึกคิดเพื่อตกผลึกคำตอบอย่างรอบคอบที่สุด
เป็นความเอื่อยช้าที่ไม่น่ารำคาญ และทำให้เรารู้สึกอยากนั่งพูดคุยกับเขาให้นานที่สุด รู้สึกได้เลยว่าเวียร์คือคนที่ยืนยันคำพูดที่ว่า “ผู้ชายยิ่งอายุมาก ยิ่งกลมกล่อมและทรงเสน่ห์” ได้จริงๆ
ภาพรวมชีวิตของ เวียร์ ศุกลวัฒน์ ในช่วงที่อีกไม่กี่เดือนอายุจะเข้าช่วง 35 ปีเป็นอย่างไร
เป็นช่วงเวลาที่ดีครับ ประสบการณ์ชีวิต การทำงานอย่างพอเหมาะ ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างหนึ่ง ผมเคยเห็นหลายคนที่พออายุ 30 กว่าๆ แล้วจะเจอสิ่งที่เรียกว่าวิกฤตวัยกลางคน เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ รู้สึกหาคุณค่าในตัวเองไม่เจอ
แต่ผมยังไม่เคยเจอช่วงเวลาแบบนั้นนะ อาจจะมีช่วงที่เบื่อๆ บ้าง แต่คิดว่าเป็นไปตามปกติ และผมก็จะมีวิธีจัดการตัวเองได้ตลอดนะ คือการหาอะไรทำหลายๆ อย่างให้ตัวเองทำเยอะๆ ส่วนงานก็มีโอกาสเข้ามาเรื่อยๆ อยู่ในจุดที่ตัวเองพอใจ ไม่ได้อยากผลักให้ตัวเองต้องก้าวกระโดดเร็วหรือมากกว่านี้
ขณะเดียวกัน อายุประมาณ 35 ปีก็เป็นช่วงเวลาที่น่าจะได้เห็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดของเพื่อนวัยใกล้ๆ กันอีกหลายคน
ใช่ๆ ผมชอบไปส่องตลอดเลยนะ (หัวเราะ) ไม่ใช่แค่คนรุ่นเดียวกันหรอก มีเด็กๆ หลายคนที่อายุน้อยกว่าผมเยอะ แต่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แล้วทำหลายๆ อย่างที่น่าชื่นชม ผมเห็นแล้วยังภูมิใจแทนเลยนะ บางทีก็กลับมามองตัวเองเหมือนกันว่า เอ๊ะ เราชิลไปหรือเปล่าวะ เรามีอะไรที่มันสุดยอดแบบนั้นไหมวะ แต่พอมาคิดอีกที นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ นี่หว่า
สรุปก็คือชอบเข้าไปดูชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วก็ชื่นชมยินดีไปกับเขา ไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรือเดือดร้อนอะไร แล้วเลือกบางแนวคิดของเขาเอามาปรับใช้กับตัวเอง ที่ชัดเจนที่สุดคือบอกตัวเองว่า เวียร์ มึงดูไว้นะ คนที่เขาเก่ง เขาประสบความสำเร็จ ไม่มีใครขี้เกียจสักคน เขายังฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นคนอย่างมึงไม่มีสิทธิ์ที่จะขี้เกียจแม้แต่นิดเดียว
แต่ด้วยพื้นฐานที่ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนขี้เกียจ เหลวไหลบ้างตามปกติ (หัวเราะ) ขั้นตอนต่อมาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็คือเอาหลักการที่ได้จากการเรียนวิศวะ เรื่องการลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ มาใช้ในชีวิต ลำดับเลยว่าเราสามารถขี้เกียจกับเรื่องไหนได้บ้าง
อย่างแรกที่ห้ามขี้เกียจเลยคือร่างกาย ต้องมีเอเนอร์จี้ตลอดเวลา ยิ่งอายุผมใกล้จะ 35 แล้ว ร่างกายไม่เหมือนเดิม ต้องห้ามขี้เกียจกับการพักผ่อนเด็ดขาด อย่างที่บอกคือทุกอย่างไม่ได้เป็นเรื่องของเราคนเดียว เป็นความรับผิดชอบส่วนรวม เรื่องงาน เรื่องธุรกิจ อันนี้ขี้เกียจไม่ได้ แต่ถ้าอันไหนไม่เกี่ยวกับใคร อันนี้ยังเต็มที่ (หัวเราะ) ขี้เกียจได้บ้าง ไม่มีปัญหา
เริ่มค้นพบว่าการพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญตั้งแต่เมื่อไร
ไม่นานๆ จำไม่ได้ว่าเมื่อไร แต่มันเพิ่มมาโดยอัตโนมัติตามอายุที่มากขึ้น เมื่อก่อนตอนวัยรุ่นไม่คิดอะไรหรอก กินเหล้าถึงเช้า ตื่นมายังเฟรช เพราะร่างกายยังดี แต่ตอนนี้มันไม่ได้แล้วนะ ผมซีเรียสเรื่องนี้ถึงขนาดเพื่อนจะชอบมาแซวผมว่าเรื่องนอนนี่แม่งสำคัญสำหรับมึงมากเลยเหรอวะเวียร์ ซึ่งผมตอบได้ทันทีเลยว่า ก็เออสิวะ (หัวเราะ)
ผมไปรีเสิร์ชมาเลยว่าต้องนอนกี่ชั่วโมง การนอนแบบไหนดีที่สุด ตกใจตัวเองเหมือนกันว่าคนแบบมึงมาหมกมุ่นเรื่องแบบนี้ได้ยังไงวะเนี่ย (หัวเราะ) แต่มันรู้สึกได้ด้วยตัวเองจริงๆ วันไหนที่นอนไม่พอ ทุกอย่างมันจะแย่ไปหมดเลย เพราะฉะนั้นบอกตัวเองตลอดว่าจะขี้เกียจเรื่องอะไรก็ได้ แต่ห้ามขี้เกียจเรื่องการพักผ่อนเด็ดขาด
ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่อนุญาตให้ตัวเองขี้เกียจได้ไหม เพราะคุณมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าข้อเสียของตัวเองคือเป็นคนบริหารความสัมพันธ์ไม่เก่ง
ไม่อยากอนุญาตนะ แต่อย่างที่เคยบอกไปเลยว่านี่คือข้อเสียของผมจริงๆ การอยู่คนเดียวจนชิน เอาตัวรอดด้วยตัวคนเดียว และทำให้บริหารเวลาและความสัมพันธ์ไม่เก่ง ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่นะ แต่เริ่มพัฒนาขึ้น เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง
เป็นคนที่กลัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นและใกล้ถึงหลัก 35 ปีมากน้อยขนาดไหน
จริงๆ ผมไม่ได้กลัวเรื่องอายุมากขึ้นเลยนะ ผมกลัวที่จะมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชีวิตว่างเปล่า กลัวเวลาผ่านไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำมากกว่า ไม่ต้องถึงขั้นทำสิ่งหนึ่งให้โลกจดจำนะ แต่ต้องได้ใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุดในทุกช่วงเวลา คุ้มในที่นี้หมายถึงว่าไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป อยู่ในช่วงพอดีๆ ซึ่งถ้าให้คะแนนความคุ้มค่าตัวเอง ณ ตอนนี้ ผมให้เต็มร้อยเลยนะ
แต่ละช่วงเวลานิยามความคุ้มในการใช้ชีวิตก็คงต่างกันไป ที่บอกได้ชัดที่สุดในตอนนี้คือสามารถพูดได้ว่าผมทำงานทุกอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันผมก็ยังสามารถแบ่งเวลาไปเที่ยว ไปใช้ชีวิตได้เต็มที่ไม่น้อยไปกว่ากัน แล้วก็ยังพักผ่อนเพียงพอได้ด้วยนะ อายุช่วงต่อไปนิยามก็คงจะเปลี่ยนไปอีก เพราะผมยังไม่ได้สัมผัสชีวิตครอบครัวด้วย แต่ก็จะพยายามใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะชีวิตช่วงนั้นจะเป็นแบบไหนก็ตาม
วิธีคิดเวลาไปเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่มากขึ้นด้วยไหม
วิธีคิด วิธีเที่ยว หรือสายตาที่มองสิ่งต่างๆ ค่อนข้างเหมือนเดิม แค่รู้สึกว่าช่วงหลังจะอยากชวนคนที่เรารักหรือเพื่อนที่สนิทไปด้วย เพราะเมื่อก่อนทำได้แค่ไปเที่ยวแล้วก็กลับมาเล่าให้เขาฟัง เหมือนเป็นความสุขของผมคนเดียว ตอนนี้อยากให้เขาเจอด้วยตัวเองมากกว่า
ผมรู้สึกว่าไปเที่ยวคนเดียวก็ยังอยู่สนุกนะ ชอบความรู้สึกตอนขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเหมือนเดิม แต่เวลาไปกันเยอะๆ มันมีอะไรมากกว่าความสนุก ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ได้เห็นความสวยงามตรงหน้าด้วยกัน ตรงนี้แหละที่ผมเริ่มเรียนรู้ว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกที่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว เราเป็นมนุษย์ เราเป็นสัตว์สังคมแล้วจริงๆ ไม่น่าเชื่อเนอะ (หัวเราะ)
จริงๆ เรื่องมนุษย์เป็นสัตว์สังคมน่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครๆ ก็ควรจะคิดแบบนั้นอยู่แล้วหรือเปล่า
อาจจะยกเว้นมนุษย์ที่ชื่อศุกลวัฒน์ไว้คนหนึ่งมั้งครับ (หัวเราะ) เมื่อก่อนจะรู้สึกว่าไม่อยากบังคับให้คนอื่นมาทำอะไรเหมือนกัน ชอบอะไรเหมือนเรา ไม่ต้องทำเพื่อใคร มากคนก็ยิ่งมากความ รู้สึกว่าสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเองคนเดียว เพราะมันสบายดี
ตอนนี้เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนก็คล้ายๆ เดิม เพิ่มเติมตรงที่เราอาจจะไม่ต้องชอบเหมือนกันทั้งหมด แต่สามารถปรับเข้าหากันได้ก็โอเคแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนขี่บิ๊กไบค์ไปเที่ยวก็โหดอยู่นะ คือตัดคนเลย ใครไม่เข้าพวก ทริปหน้าก็จะเหลือแค่นี้ๆ แต่แบบนี้มันดูประนีประนอมมากขึ้น
เลยเพิ่งเข้าใจว่า อ๋อ นี่เหรอวะที่เขาบอกว่าคนต่างพ่อต่างแม่แล้วต้องมาอยู่ร่วมกันให้ได้ ทำอะไรร่วมกันได้ พอรู้ตรงนี้ก็ส่งผลให้เราทำอะไรช้าลง คิดช้าลง ละเอียดมากขึ้น เพราะรู้ว่ามีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันจะเร็วเหมือนเดิมไม่ได้
จากเมื่อก่อนที่อยู่คนเดียว เห็นแก่ตัวบ้าง เอาให้ตัวเองรอดไว้ก่อน เฮ้ย ตอนนี้มันเริ่มเห็นการพัฒนาเว้ย เริ่มคุยกับคนเป็น เริ่มเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ถึงแม้บางอย่างจะยังรู้สึกว่า แม่ง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้วะอยู่บ้าง แต่ถือว่าโอเคขึ้นจากเดิมเยอะเลย
เวลาทำงานผมจะไม่ค่อยรู้สึกเรื่องนี้ เพราะทุกคนชอบยกผมไว้อย่างนี้ (ทำมือเหนือหัว) ทำให้ผมไม่มีโอกาสลงไปสัมผัสการอยู่ร่วมกับคนอื่น ผมไม่ได้ต้องการโดนยกนะ เวลากินอะไรก็จะแยกของผมเอาไว้เหมือนเป็นราชา ซึ่งเขาก็ไม่ผิดนะที่ทำแบบนั้น เพราะต้องดูแลเราให้ดีที่สุด แต่ก็ทำให้ผมโดนแยกออกจากสังคมประมาณหนึ่งเหมือนกัน
ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างจากตอนขับบิ๊กไบค์ไปเที่ยวที่จะโฟกัสที่เส้นทาง ได้คุยกันเมื่อถึงจุดหมายหรือที่พัก แต่การขับรถไปเที่ยวแบบนี้ต้องอยู่ด้วยกัน ต้องคุยกันตลอดเวลา
โอเคเลยครับ เราตั้งโจทย์กันแต่แรกว่าต้องอยู่ด้วยกันบนรถคันเดียวกัน จะไม่แยก 2 คันเด็ดขาด เพื่อที่จะได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเราคิดไม่เหมือนกัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะทุกคนค่อนข้างรู้หน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว
เชื่อไหมว่ากลายเป็นผมที่โดนดุมากที่สุด เพราะผมเป็นคนขับรถ (หัวเราะ) แล้วผมชอบลุยไง บางทีในใจก็จะคิดว่าเราขับรถก็เหนื่อยแล้วนะ จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา (หัวเราะ) แต่ไม่เป็นไร ผมยินดียอมรับหน้าที่หนักที่สุดเพื่อดูแลความปลอดภัยและความสะดวกสบายของทุกคน
พอคิดแบบนี้ ปัญหาหงุดหงิด ทะเลาะกัน มันจะกลายเป็นเรื่องเบามากเลย แล้วค่อนข้างให้อภัยเสร็จสรรพด้วยตัวเอง คือใครอะไรยังไงไม่รู้ล่ะ สมมติบรรยากาศเริ่มมาคุแล้ว แต่ไม่ต้องพูดอะไรเลยนะ นิ่งสักแป๊บหนึ่งแล้วก็จะพูดคำว่าขอโทษออกมา จบเลย แปลกมาก เป็นเสน่ห์ของการมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้
คุณบอกว่าไม่กลัวอายุที่เพิ่มขึ้น แล้วกลัวพวกริ้วรอยความเหี่ยวย่นที่เพิ่มขึ้นบ้างไหม
ไม่กลัว เพราะรู้ว่าของผมมาเร็วกว่าอายุจริงประมาณ 5 ปีตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว (หัวเราะ) ผมยิ้มเยอะ แล้วก็ผมชอบเลิกคิ้ว แล้วตีนกากับรอยบนหน้าผากก็จะลึกขึ้นเรื่อยๆ ไปเที่ยวตากแดดจนกระเนื้อเริ่มขึ้น เวลาไปออกกองก็จะมีคนบอกว่าไปจิ้มให้มันลดลงหน่อยไหม ก็ไม่ไป ปล่อยมันไว้เถอะ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างมีอายุการใช้งานของมัน
คือผมไม่โอเคถ้าจะเอาอะไรที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในตัวผมออกไป เช่น รอยกระ รอยบนหน้าผาก ตีนกา ร่องแก้ม แต่ผมโอเคกับพวกครีมบำรุงผิว วิตามินเสริมที่ทำให้หน้าใส ผิวพรรณดีนะ ไปเข้าคอร์สอัดวิตามินผมก็ไป ตอนแรกโดนบังคับก็เขินๆ หน่อย ตอนนี้ซื้อคอร์สเองเลย ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา เดินเข้าคอร์สเลย ตลกตัวเองฉิบหาย (หัวเราะ)
หมอบางคนยังบอกว่าอย่าไปเอากระออกเลย หายากแล้วนะแบบนี้ เพราะคนทั่วไปเขาจี้ออกกันหมดแล้ว ซึ่งก็จริงนะครับ ผมว่าสิ่งที่ควรสนใจไม่ใช่อายุ 35 แล้วจะทำยังไงกับใบหน้าดี แต่ควรสนใจว่าเราเป็นคนอายุ 35 ที่มีความสุขตามสภาพแล้วหรือเปล่า ซึ่งจุดนี้ไม่ได้สำคัญที่ริ้วรอยหรอก มันสำคัญที่ดวงตา ความรู้สึกที่อยู่ในดวงตามันโกหกกันไม่ได้
สังเกตจากการเปลี่ยนจากขับบิ๊กไบค์ไปเที่ยวมาเป็นรถบ้าน การถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม และแคปชันในอินสตาแกรมที่คุณมักจะเขียนอยู่บ่อยๆ ว่าการใช้ชีวิตในช่วงนี้ช้าลงมาก ความช้าสำคัญกับเวียร์ในวัยย่างเข้า 35 ปีอย่างไรบ้าง
ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ จากตอนวัยรุ่นไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ทุกอย่างต้องเร็ว คำพูดติดปากคือเร็วหน่อยสิ ไอ้เหี้ย ช้าเกินไปแล้วเว้ย ซึ่งผิดกับนิสัยเดิมของผมที่เป็นคนสโลว์ไลฟ์มากเลยนะ แต่พอเริ่มทำงาน เริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มคึกคะนอง มันทำให้ติดความเร็วที่ทันใจเรามากกว่า
แต่พอเริ่มออกเที่ยวธรรมชาติแบบจริงๆ จังๆ ตอนอายุสัก 20 ปลายๆ 30 ต้นๆ ก็เริ่มช้าลงแล้วนะ บวกกับเคยพลาดมาหลายครั้งจากการเป็นคนอยากได้อะไรต้องได้ ใจร้อน ความอดทนต่ำ ก็ค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ ตามอายุและการใช้ชีวิต เปลี่ยนจากเร็วๆ หน่อยสิวะไปเป็น เฮ้ย ไม่เป็นไร ช้าๆ ก็ได้ ไม่ต้องรีบ
เชื่อไหมว่าเวลาวันเกิดหรือเทศกาลสำคัญอะไรก็ตาม คำอวยพรทุกปีที่ผมได้จากแม่คือปีนี้ช้าลงอีกนิดนะลูก (หัวเราะ) คือไม่ได้บอกว่าให้ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเขารู้ว่าลูกเขาเร็วมาก สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือให้มันช้าลงหน่อย มีสติมากขึ้นอีกนิด
การใช้กล้องฟิล์มถ่ายรูปสอนให้คุณเห็นประโยชน์ของความช้าอย่างไรบ้าง
ผมคิดว่ามันทำให้ความรู้สึกพิเศษขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น ทำให้เราครีเอตมากขึ้น พยายามมากขึ้น คิดมากขึ้นเวลาจะถ่ายแต่ละครั้ง ไม่ใช่ถ่ายมามั่วๆ แล้วค่อยไปแต่งรูปเอา ต้องบอกว่าผมใช้กล้องทุกอย่างนะ แต่แบ่งฟังชันก์การใช้งานคนละแบบ กล้องดิจิทัล โทรศัพท์มือถือ ก็จะใช้ถ่ายสิ่งที่ต้องการบันทึกว่าเราไปที่นั่นที่นี่มานะ หรือต้องการความเร็ว ต้องลงภาพเดี๋ยวนั้นเลย
แต่กล้องฟิล์มจะเอาไว้ถ่ายเฉพาะสิ่งที่เรารู้สึกอะไรบางอย่างกับมันมากๆ จริงๆ ถ้าไม่รู้สึกก็ไม่ต้องไปเค้นว่าจะต้องถ่ายออกมาให้ได้ เป็นความรู้สึกที่เราเลือกได้มากขึ้น ใช้เวลากับมันได้มากขึ้น ทำให้เราช้าลง แล้วก็ทำให้คนที่อยู่กับเราเขาช้าลงด้วย (หัวเราะ) ถ้ารู้ว่าผมใช้กล้องฟิล์มถ่ายก็จะถูกบ่นนิดหน่อย แต่เขาก็จะยอมถ่ายนะ เพราะรู้ว่ารูปจากกล้องฟิล์มมีความพิเศษของมันเหมือนกัน
ที่ชัดมากๆ คือทุกภาพที่ออกมาจากกล้องฟิล์มมันเห็นได้เลยว่าคุณตั้งใจถ่ายออกมามากแค่ไหน แล้วมันจะถูกจำกัดมาเลยว่าม้วนหนึ่งเราจะถ่ายได้แค่กี่รูป แต่ไม่ได้บอกว่าการถ่ายกล้องฟิล์มเหนือว่ากล้องอื่นๆ นะ สุดท้ายผมอยากเรียกตัวเองว่าเป็นคนชอบถ่ายรูปแค่นั้นพอ สุดท้ายอยู่ที่ว่าคุณอยากนำเสนอเรื่องราวอะไร เราตั้งใจกับมันได้ทั้งนั้น จะกล้องฟิล์ม กล้องป๊อกแป๊ก กล้อง DSLR หรือถ่ายเซลฟีด้วยกล้องโทรศัพท์ก็เหมือนกัน
เคยท้าทายตัวเองด้วยการจำกัดไปเลยไหมว่าทริปนี้เราจะเอาฟิล์มไปแค่ไม่กี่ม้วน มีแค่ไหนก็ตั้งใจถ่ายออกมาให้ดีที่สุดแค่นั้น
เคยมีทริปหนึ่งครับ แล้วก็มานั่งเสียดายตอนกลับมาว่าไม่น่าเอาไปน้อยเลย เพราะฟิล์มจะหมดเวลาที่เราต้องการเสมอ ยังไงมีเหลือใช้ดีกว่าขาดอยู่แล้ว รู้สึกว่ามึงจะเกินไปแล้วนะเวียร์ (หัวเราะ) ไม่ต้องชาเลนจ์ตัวเองขนาดนั้นก็ได้มั้ง ใช้ชีวิตง่ายๆ บ้างก็ได้ สุดท้ายการได้ภาพที่สวยมันสำคัญกว่าศักดิ์ศรีหรือการท้าทายตัวเองที่เรายึดไว้นะ อย่างทริปไอซ์แลนด์ที่ไปมาล่าสุดผมก็พกไป 6 ม้วน กดจนหมดเกลี้ยงเลย (หัวเราะ)
การมี ‘พี่เวย์’ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต มีส่วนทำให้การใช้ชีวิตของคุณช้าลงไปด้วยไหม
มีผลเยอะเหมือนกันนะ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ดูแลหมาแบบเต็มๆ เมื่อก่อนเคยมี แต่พ่อกับแม่ก็ต้องช่วยดูแล จากตอนแรกผมแค่อยากจะมีเพื่อน ตามความคิดในอุดมคติว่ามันจะต้องมานั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเวลาเราอ่านหนังสือ ตัดภาพมาอีกทีคือพี่เวย์ซนมาก ต้องเอาไปเข้าโรงเรียนบ้าง เวลาผมเอาออกไปที่ไหน มันทำผมขายหน้าตลอดเลย (หัวเราะ) ซึ่งตอนนี้ไม่ซนขนาดนั้นแล้ว โตขึ้นตามวัย
แต่ผมรักมันมากนะ เพราะทำให้ผมได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ผมไม่คิดจะทำ อย่างเมื่อก่อนซื้อข้าวให้ตัวเองกินคนเดียวก็พอแล้ว ตอนนี้ต้องนึกถึงมันเป็นอันดับแรกๆ ในชีวิต ต้องวางแผนตลอด เดี๋ยวกูไปต่างประเทศแล้วมึงจะอยู่ยังไงเนี่ย พรุ่งนี้มีถ่ายละครเช้า จะเอามึงไปด้วยได้ไหมนะ ต้องเอาไปฝากที่ไหนหรือเปล่า มีอะไรให้คิดถึงมากกว่าคิดถึงแต่ตัวเอง เวลาฝึกพี่เวย์ก็เป็นการฝึกของผมเหมือนกัน เผื่อวันหนึ่งจะมีครอบครัวในอนาคต จะได้ใช้ชีวิตกับคนอื่นได้ (หัวเราะ)
การแสดงหนัง 2 เรื่องล่าสุดอย่าง มะลิลา และ ดิว ไปด้วยกันนะ ก็เป็นแนวดำเนินเรื่องช้าๆ ค่อยๆ ดำดิ่งไปกับความรู้สึกของตัวละคร เป็นความตั้งใจฝึกแนวคิดเกี่ยวกับความช้าในชีวิตด้วยหรือเปล่า
ไม่ถึงขนาดนั้น สิ่งที่ผมได้มากที่สุดไม่ใช่ความช้า แต่เป็นความจริง พอมันจริงมากๆ ก็ยากนะ เหมือนเราไม่ได้เข้าไปเล่นหนัง แต่เข้าไปเป็นตัวละครนั้นจริงๆ เชื่อมความเชื่อ ความรู้สึกกับตัวละครนั้น แล้วก็ทำแบบนั้นออกมาเลย อย่างในเรื่อง มะลิลา นุชชี่ (อนุชา บุญยวรรธนะ – ผู้กำกับ) ก็ให้ผมทำไปเลยโดยที่ไม่ได้มานับ 5 4 3 2 ด้วยซ้ำ คือรู้สึกเมื่อไรค่อยแสดงออกมา เป็นเสน่ห์อีกแบบที่ผมชอบมากเลยนะ
เวียร์ที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ กับเวียร์ที่ได้รางวัลสุพรรณหงส์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาแล้ว แตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน
เป็นคนเดิมที่ตั้งใจมากขึ้นครับ เป็นธรรมดาอยู่แล้วเนอะ เพราะเราเลือกแล้วว่าการเป็นนักแสดงคืออาชีพของเรา แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือผมรู้สึกว่ายังต้องเริ่มต้นใหม่เสมอทุกครั้งที่ได้รับบทบาทใหม่ ไม่เคยคิดว่าตัวเองอยู่มานาน มีประสบการณ์สูง ไม่เลย ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ
ตอนนี้อายุจะ 35 ปีก็ยังต้องไปเริ่มต้นใหม่เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกว่าช้าเกินไปด้วยนะ บางคนอายุ 35 แต่ลาวงการไปแล้วก็มี วงการนี้ยังพัฒนาไปเรื่อยๆ ผมเองก็ต้องพัฒนา หาความท้าทายใหม่ๆ ให้ตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนกัน
ความท้าทายของบท ‘ภพ’ ที่ทำให้คุณรับเล่นหนังเรื่อง ดิว ไปด้วยกันนะ คืออะไร
มันไม่ใช่ผมเลย มีพื้นฐานแค่อย่างเดียวคือเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่เหลือผมต้องมาเริ่มต้นใหม่หมดเลย
สังเกตว่าตัวละคร เชน ใน มะลิลา กับ ภพ ในเรื่องนี้เป็นคนที่ติดอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตเหมือนกันทั้งคู่เลย
อันนี้ล่ะครับที่ยิ่งไม่เหมือนที่สุด (หัวเราะ) ผมเหมือนคนไม่มีอดีตเลย พวกเรื่องความสูญเสียในชีวิตต้องมีอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ได้มีปมอะไรที่รู้สึกเจ็บปวดมากหรืออยากกลับไปแก้ไข ซึ่งเมื่อก่อนผมก็ไม่เข้าใจคนที่เป็นแบบนี้นะ เพิ่งมาเริ่มเข้าใจมากขึ้นก็ตอนที่ได้เล่นเป็นเชนกับภพนี่ล่ะ
เข้าใจแล้วรู้สึกว่าเราโชคดีมากเลยนะที่ไม่เป็นแบบนั้น เพราะการติดอยู่ในอดีตมันเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้จริงๆ ผมมองไปถึงว่ามันเป็นเรื่องของความซวยเลยนะ ซวยคือเราทำอะไรกับมันไม่ได้ เชนกับภพ พวกมึงแม่งซวยฉิบหายเลยที่ต้องมาเจอเรื่องราวอะไรมากมายขนาดนี้ แล้วคิดว่าหลายๆ คนก็คงจะซวยแบบนี้เหมือนกัน
ขนาดผมเองที่บอกว่าไม่มีอดีต แต่ทุกครั้งที่กลับไปขอนแก่น ความทรงจำเก่าๆ ก็พุ่งกลับมาหมดเลยนะ แค่อย่างที่บอกว่ามันไม่ได้นำความเจ็บปวดมาให้เรา แล้วอย่างภพในเรื่อง ดิว ไปด้วยกันนะ ที่มีอดีตเลวร้ายมากๆ เคยทำผิดมากๆ เอาไว้ล่ะ ความทรงจำที่ย้อนกลับมามันจะยิ่งเจ็บปวดขนาดไหน
แต่สุดท้ายผมยังเชื่ออยู่เสมอนะว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ และอดีต ความรัก ความทรงจำ ความเจ็บปวด ก็เป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ อย่างน้อยเราต้องรู้จักความทุกข์มาก่อนแล้วถึงจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร
ถ้าให้เดา คุณน่าจะเป็นคนประเภทที่ถ้าย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ก็คงจะกลับไปแก้ไข
แน่นอนครับ ทั้งที่ทำเรื่องเหี้ยๆ ไว้เยอะด้วยนะ (หัวเราะ) แต่ถ้าแก้ก็ไม่ใช่ตัวเราแล้วสิ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้คงไม่กลับไปแก้ไขอะไร แต่จะมีช่วงเวลาที่อยากกลับไปอยู่นะ
คือช่วงเด็กๆ ที่ครอบครัวอยู่กันครบ พ่อ แม่ พี่ชาย แล้วก็ผม น่าจะเป็นช่วงที่สุดยอดที่สุดแล้ว ไม่ต้องกลับไปแก้ไข แต่อยากกลับไปรับรู้ความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาเดียวที่ผมฝันถึงอยู่บ่อยๆ ด้วยนะ ตอนเด็กเล่นสนุกกันกับพี่ชายก่อนที่เขาจะป่วยและเสียชีวิต ส่วนช่วงวัยรุ่นก็กเฬวรากมาก อย่าไปรู้สึกแบบนั้นอีกเลย (หัวเราะ)
ที่บอกไว้ตอนต้นว่าคุณเริ่มบริหารเวลาและบริหารความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น ตอนนี้ไปได้ถึงระดับไหนแล้ว
เริ่มจากเรื่องครอบครัวก่อน เมื่อก่อนที่บ้านผมแทบจะไม่คุยกันเลย เพราะผมชอบไปคิดแทนว่าทุกคนยังโอเค เขาอยู่กันได้ ไม่มีอะไรหรอก แต่ปัจจุบันห้ามคิดเองเด็ดขาด มีอะไรโทรไปคุยเลย โทรไม่ได้ก็ไลน์หากัน มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น พอเริ่มทำแล้วทุกอย่างมันก็ดีขึ้นจริงๆ นะ เมื่อก่อนแค่จะเอาของไปให้พ่อผมยังฝากเพื่อนไปให้ จนเพื่อนด่าว่ามึงเอาไปให้เองบ้างเถอะ พ่อมึงเบื่อขี้หน้ากูจะแย่แล้ว (หัวเราะ) ตอนนี้ก็หาเวลาเอาไปให้เองถึงที่เลย
ได้รับสติกเกอร์หรือภาพสวัสดีวันต่างๆ จากพ่อแม่บ่อยไหม
ช่วงแรกๆ ได้จากแม่เยอะครับ ดอกไม้เพียบเลย (หัวเราะ) แต่ผมชอบนะ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญอะไร เห็นแล้วยิ้มเลย พอถามว่าเอามาจากไหน เขาก็บอกว่าเอามาจากเพื่อนอีกที ผมบอกเลยว่าเดี๋ยวถ่ายรูปสวยๆ ส่งไปให้ แล้วเอาคำพูดไปแปะเองแล้วกันนะ
เมื่อก่อนคุณเคยบอกว่าอยากแต่งงานตอนอายุ 30 ต้นๆ พออายุ 30 ต้นๆ บอกว่าไม่ควรเกิน 35 เพราะเดี๋ยวจะแก่เกินไป ตอนนี้ใกล้ถึงตัวเลขนั้นแล้ว ยังยืนยันความคิดแบบนั้นอยู่ไหม
(คิดนาน) ลุ้นๆ อยู่ ใจผมไม่อยากขยับนะ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ขยับได้ ไม่มีปัญหาอะไร ตอนเด็กๆ ผมมองแค่ในมุมตัวเองอย่างเดียวว่าเดี๋ยวจะแก่เกินไป เลยกำหนดตัวเลขตามใจชอบ แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
พออายุมากขึ้น ยิ่งเข้าใจว่ามันมีปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญคือปัจจัยทุกอย่างต้องพร้อมจริงๆ พอมองภาพรวมด้วยความเข้าใจมากขึ้นเลยไม่ได้รีบ ไม่ได้เร่งอะไร กลายเป็นเริ่มชิล
แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีก็ได้นะ อยากมีมากเลย อยากมีครอบครัว อยากมีเวียร์จูเนียร์เหมือนเดิม ตอนนี้เวลาไปงานรวมรุ่น เพื่อน 80% จะพาลูกมาด้วย บางคนโตจนวิ่งมากอดแล้วถามผมได้แล้วว่าทำไมพ่อเวียร์ไม่มีลูก (หัวเราะ)
อีกอย่างคือเมื่อก่อนผมอาจจะคิดแค่ว่าถ้ามีครอบครัว มีความรัก แล้วต้องขีดเส้นด้วยการแต่งงาน ประกาศให้คนรู้ก่อนอายุ 35 ปี แต่ตอนนี้ไม่ได้ยึดติดขนาดนั้นแล้ว มองที่ความพร้อมอย่างเดียวเลย
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีแฟน คุณเคยบอกว่าแทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเพื่อความรักมาก่อนเลย จนทุกวันนี้มี เบลล่า (ราณี แคมเปญ) เข้ามาในชีวิต คิดว่าตัวเองสามารถพัฒนาเรื่องการบริหารเวลา บริหารความสัมพันธ์เพื่อคนรักไปได้ถึงระดับไหนแล้ว
ดีขึ้นครับ ยังยืนยันว่าต้องโดนด่าอยู่บ้าง (หัวเราะ) แต่ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็บอกว่าดีขึ้นนะ (ยิ้ม) อย่างแรกคือผมพยายามคิดถึงเขาให้มากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ทำได้ ไม่มีปัญหา แต่ที่สำคัญคือต้องรู้ว่าผู้หญิงเขาละเอียดอ่อน อันนี้เป็นเรื่องที่ผมสอบตกมากๆ แล้วก็คิดว่าผู้ชาย 80% จะสอบตกเหมือนกัน เรื่องที่เราคิดว่าเล็ก แต่จริงๆ แล้วไม่เล็กนะ ก็จะโดนอยู่บ่อยๆ ว่าเรื่องแค่นี้ไม่รู้เหรอ แต่ผมยืนยันว่าผมไม่รู้จริงๆ โคตรโง่เลย
แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นมากๆ ณ ปัจจุบันคือเรามีความคิดเหมือนกัน ผมจะบอกเสมอว่าคนที่คบกับผมต้องคุยกันโคตรรู้เรื่อง แล้วเขาเป็นแบบนี้จริงๆ ทิศทางของสมองค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกัน พูดเรื่องเดียวกันด้วยความคิดที่เหมือนกัน ทำให้ภาพรวมโอเคมาก ที่เหลือคือรายละเอียดเล็กๆ ที่เป็นผมเองนี่ล่ะที่ไม่ดี แต่จะทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ผมว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปมากๆ คือเมื่อก่อนเรามีความรักเพราะอยากให้ตัวเองมีความสุข ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว คือยังอยากมีความสุขด้วยนะ แต่อยากให้เขามีความสุขมากกว่า ก็คิดอย่างเดียวว่าอยากทำอะไรเพื่อเขาให้มากกว่านี้ ไม่ได้อยากทำเพื่อความสุขของตัวเองเหมือนแต่ก่อน เพราะเมื่อก่อนผมจะทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเองเยอะมาก เป็นอีกมุมของความรักที่พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ตัวอย่างภาพยนตร์ ดิว ไปด้วยกันนะ
https://www.youtube.com/watch?v=d2OU6IYh9es
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ดิว ไปด้วยกันนะ เล่าเรื่องชีวิตของเด็กผู้ชายสองคนที่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันในวันที่สังคมยังไม่เปิดกว้างเรื่อง LGBT ทำให้ทั้งสองคนต้องแยกย้ายไปใช้ชีวิตตามเส้นทางของแต่ละคน ก่อนที่จะกลับมาพบกันอีกครั้งพร้อมความทรงจำมากมายที่พาพวกเขาย้อนกลับไปในอดีตถึงช่วงเวลาทั้งดีและร้าย เพื่อกลับไปแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร
- เป็นผลงานกำกับลำดับที่ 9 ของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ได้นักแสดงอย่างคุณภาพอย่าง ญารินดา บุนนาค, อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน, แจง-วราพรรณ หงุ่ยตระกูล และนักแสดงรุ่นใหม่น่าจับตาอย่าง โอม-ภวัต จิตต์สว่างดี, นนท์-ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์, ปั๋น-ดริสา การพจน์ มาพาทุกคนไปยืนยันว่า ‘ความรักแท้’ มีอยู่จริงไปพร้อมกัน