เซบาสเตียน พิเนรา (Sebastian Pinera) ประธานาธิบดีชิลี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันศุกร์ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น หลังเหตุประท้วงกรณีขึ้นค่าโดยสารรถไฟใต้ดินซึ่งกระทบต่อค่าครองชีพของพลเมืองในประเทศได้ยกระดับความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง
หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พิเนรายังได้เปิดทางให้กองกำลังทหารเข้าควบคุมความสงบเรียบร้อยตามจุดต่างๆ ในตัวเมือง
ประธานาธิบดีชิลีกล่าวว่า “ผมได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไป และผมยังได้มอบหมายให้ พลตรี ฮาเวียร์ อิตูร์ริเอกา เดล คัมโป (Javier Iturriaga del Campo) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายรักษาความสงบแห่งชาติ ตามบทบัญญัติกฎหมายรัฐของเราในสถานการณ์ฉุกเฉิน
“เป้าหมายของการประกาศสภาวะฉุกเฉินในครั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความปลอดภัยของทรัพย์สินสาธารณะและทรัพย์สินส่วนตัว จะไม่มีที่ยืนให้กับความรุนแรงในประเทศนี้ที่ยึดถือหลักการด้านนิติธรรมเป็นสำคัญ”
ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลชิลีได้ประกาศขึ้นค่าโดยสารรถไฟใต้ดินในช่วงเวลาเร่งด่วนสูงสุดถึงประมาณ 1.17 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 35 บาท โดยให้เหตุผลด้านการแบกรับต้นทุนพลังงานที่สูงและค่าเงินเปโซที่อ่อนตัว
ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความไม่พอใจ โดยเฉพาะประชาชนในกลุ่มนักศึกษาและนักเรียนไฮสคูล จนส่วนใหญ่เลือกออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนนและจุดต่างๆ ในตัวเมือง
ก่อนที่การประท้วงจะยกระดับความรุนแรงขึ้น ถึงขั้นที่บางส่วนเลือกโจมตีสถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่ง ขว้างปาหินและสิ่งของต่างๆ จุดไฟเผาสถานที่ต่างๆ รวมถึงรถโดยสารประจำทางอย่างน้อย 1 คัน และปิดกั้นเส้นทางจราจรหลายจุดในหลายเมืองทั่วประเทศ
โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรถไฟใต้ดินในชิลีได้ประกาศปิดให้บริการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 2 วัน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย พร้อมประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สิน (สถานี, กล้องวงจรปิด ฯลฯ) ว่าน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 21 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: