วันนี้ (17 ตุลาคม) สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ระบุถึงการแถลงงบประมาณของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า ตนฟังแล้วมีความซาบซึ้ง เพราะต้องการเห็นบ้านเมืองให้เจริญรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีคำถามกลับไปยังนายกรัฐมนตรี ทำไมเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ทำอะไรเลย พร้อมทั้งอยากให้ทั้งทางฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลให้ตระหนักถึงความสำคัญของการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน
ขณะนี้ประชาชนกำลังประสบปัญหากับภาวะเศรษฐกิจอย่างยากลำบาก แม้ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ผ่านอำนาจโดยทั่วไป แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลนี้มีปัญหาในด้านความชอบธรรม ซึ่งอาจสังเกตได้จากการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ และการแถลงนโยบายไม่ได้อธิบายถึงแหล่งที่มาของงบประมาณ และไม่ได้แสดงถึงความคุ้มค่า สิ่งเหล่านี้นอกเหนือจากก็ไม่ได้มีการบรรจุลงในคำแถลงการณ์
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะติดตามรัฐบาลไปตลอด ซึ่งจากการวิเคราะห์และพิจารณางบประมาณที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมาและส่งมาให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ตนขอเรียนว่าฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตน อยากฝากไปยังรัฐบาลว่า ตนอยากให้รัฐบาลนำ พ.ร.บ. งบประมาณที่เสนอมาวันนี้นำกลับไปร่างใหม่ เนื่องจากงบประมาณฉบับนี้ไม่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง และไม่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤต คือในระบบเศรษฐกิจหากพิจารณาในภาพใหญ่ องค์ประกอบของการขับเคลื่อนหลักที่ถือเป็นฟันเฟืองหลักของระบบเศรษฐกิจประกอบด้วยกัน 4 ด้าน ได้แก่ การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุน และค่าใช้จ่ายของภาครัฐ
โดยสมพงษ์ยังตั้งคำถามว่า ทำไมงบประมาณที่กำลังจะอภิปรายมีความสำคัญต่อประเทศ งบประมาณประจำปี หรืองบประมาณต่างๆ ที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ การจัดสรรให้หน่วยงานด้วยความยุติธรรมก็ย่อมสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศเพื่อให้ประชาชนของประเทศสำหรับเราวัดกันด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศด้วยผลิตภัณฑ์มวลชน หรือ GDP ที่ผ่านมาขณะนี้มีประมาณ 17 ล้านล้านบาท ยอดรวมงบประมาณที่ได้กำหนดในวันนี้คือ 3.2 ล้านล้านบาท จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นปัญหาสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องนำไปพิจารณาควบคู่กับสามหลักการที่กล่าวในข้างต้น
สมพงษ์ชี้ว่า ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา งบของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน และในปีนี้หากจะดูงบประมาณ ได้มีการเพิ่มขึ้นถึง 6 พันกว่าล้านบาท รายจ่ายเหล่านี้ไม่ได้สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน ซึ่งประชาชนขณะนี้เสียภาษี ทั้งๆ ที่ลำบากอยู่ แต่กลับทุ่มเทไปด้านความมั่นคงและกลาโหม ซึ่งไม่ถือเป็นความจำเป็นของประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่
หากการใช้งบประมาณของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจก็จะขยายตัว ประชาชนก็จะจับจ่ายใช้สอยและจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับบอกว่า การจะแจกเงินที่ผ่านมาเป็นการแจกเงินอย่างสิ้นคิด การแจกโดยไม่ยึดโยงกับการพัฒนาประสิทธิภาพและการปรับแผนในการทำธุรกิจเป็นเพียงการยืดปัญหาออกไป พอเงินหมดปัญหาก็กลับมาใหม่
สมพงษ์ระบุตอนท้ายการอภิปรายว่า ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ตนไม่สามารถเห็นชอบ พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า