“จากแพสชันสู่แบรนด์นาฬิการะดับไฮเอนด์สัญชาติสวิสที่เก่าแก่ที่สุดในโลก”
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มนามว่า Jehan-Jacques Blancpain ผู้หลงใหลเสน่ห์ของกลไกภายในเรือนเวลาจะสร้างแบรนด์นาฬิกาที่เป็นตำนานระดับโลกจากโรงนาเล็กๆ และยังสถาปนาตัวเองเป็นช่างนาฬิกาคนแรกของหมู่บ้าน Villeret ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ตั้งแต่ปี 1735-1932 ระยะเวลากว่า 7 เจเนอเรชัน คือบทพิสูจน์ที่โลกต้องยอมรับว่าตระกูล Blancpain ใช้มากกว่าแพสชันขับเคลื่อนแบรนด์ Blancpain (บลองแปง) เขาทำให้โลกเห็นว่า ‘ตำนาน’ ไม่ได้แปลว่า ‘อยู่นาน’ เท่านั้น แต่คือการสร้างประวัติศาสตร์ด้วยศิลปะที่โลกต้องจดจำ
Jehan-Jacques Blancpain ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Blancpain
เมื่อตีความ DNA ของแบรนด์เป็นงานศิลปะ เรือนเวลาของ Blancpain จึงสะท้อนให้เห็นถึงความประณีตผ่านงานออกแบบ และความเชี่ยวชาญของช่างฝีมือ เห็นได้จากมาสเตอร์พีซที่ยังคงเป็นตำนานอย่างการผลิตกลไกให้กับแบรนด์ Harwood นาฬิกาอังกฤษในปี 1926 และปี 1930 กับนาฬิกาแบรนด์ Rolls
ปี 1953 Blancpain สร้างงานศิลปะเรือนเวลาที่พลิกโฉมนวัตกรรมนาฬิกา ‘Fifty Fathoms’ นาฬิกาดำน้ำรูปแบบโมเดิร์นเรือนแรกของโลก ที่ตั้งชื่อตามเนื้อร้องของตัวละคร Ariel ในบทละครของเชกสเปียร์เรื่อง The Tempest ความว่า “Full fathom five thy father lies; Of his bones are coral made.”
นาฬิกา Blancpain Fifty Fathoms ที่ผลิตให้หน่วยนาวิกโยธินฝรั่งเศสสวมใส่เพื่อปฏิบัติภารกิจช่วงยุค 1950s
3 ปีต่อมา (1956) Blancpain รังสรรค์งานศิลปะภายใต้ชื่อ Ladybird นาฬิกาข้อมือผู้หญิงที่เล็กที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานั้น จะกล่าวว่าคอลเล็กชันนี้ คือการโชว์ฝีมือให้โลกเห็นถึงศิลปะของช่างฝีมือด้วยการนำอัญมณีมาประดับบนตัวเรือน โดยเฉพาะ Ladybird รุ่นที่ผลิตในปี 1962 ประดับเพชรกว่า 71 เม็ด และเพชรทรงมาร์คีส์ 2 เม็ดบริเวณด้านบนและด้านล่างขอบตัวเรือน หน้าปัดถูกออกแบบให้เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสไตล์อาร์ตเดโค กลไกสลัก ‘Blancpain, Rayville Watch Co.’ ที่ไอคอนระดับโลกอย่าง มาริลิน มอนโร เคยเป็นเจ้าของ
นาฬิกา Blancpain Ladybird ของมาริลิน มอนโร
DNA ของ Blancpain ถ่ายทอดไปสู่การทำธุรกิจด้วยศิลปะกลายเป็นงานมาสเตอร์พีซระดับโลก
Blancpain ไม่ได้สร้างงานศิลปะผ่านเรือนเวลาเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอด DNA เหล่านี้ให้เป็นศิลปะการทำธุรกิจด้วย นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจจนถึงวันนี้ Blancpain ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “Since 1735 there has never been a quartz Blancpain watch. And there never will be. ตั้งแต่ปี 1735 เราไม่เคยมีนาฬิกาควอตซ์มาก่อน และมันจะไม่มีวันมี” แม้ในยุค 1970s วงการนาฬิกาของสวิสต้องสั่นสะเทือนเมื่อเกิด Quartz Crisis นาฬิกาใส่ถ่านซึ่งเป็นเทคโนโลยีราคาถูกกำลังทำให้วงการนาฬิกา Mechanical ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้แต่ Blancpain ก็เช่นกัน จะเรียกว่าโชคดีก็ไม่ใช่ แต่เพราะ Blancpain รู้ว่าตัวเองคือใคร และนำพาธุรกิจให้เดินไปตามหลักปรัชญาที่ยึดถือมาตลอดคือ ‘Innovation is our tradition’ หรือนวัตกรรมคือประเพณีของเรา
ภาพโฆษณาของ Blancpain ในปี 1989
ถึงแม้วันนี้ Blancpain จะไม่ได้ดำเนินธุรกิจจากคนในตระกูล Blancpain แต่ดำเนินงานภายใต้ Swatch Group โดยมี Marc A. Hayek ดำรงตำแหน่ง Chairman และ CEO ทว่าปรัชญาและจิตวิญญาณเหล่านั้นถูกส่งผ่านให้เห็นใน Marketing DNA ของ Blancpain ทั้ง 3 หลักการสำคัญ ได้แก่ Ocean Commitment, Motorsport และ Art of Living
‘สิ่งแวดล้อมใต้ทะเล’ น่าจะเป็นสิ่งที่ Blancpain ให้ความสำคัญที่สุด เห็นได้จากการปล่อยแคมเปญ Blancpain Ocean Commitment Blancpain เปิดตัวหลายโครงการที่มีส่วนช่วยโลกใต้ทะเล อาทิ การเป็นสปอนเซอร์ให้กับโครงการสำรวจ Gombessa ของนักธรรมชาติวิทยาทางทะเลคนดัง Laurent Ballesta หรือจับมือกับนักถ่ายภาพใต้น้ำเพื่อสื่อให้คนเห็นถึงความงดงามของโลกใต้ทะเล รวมไปถึงการผลิตนาฬิกา Limited Edition 3 รุ่น ได้แก่ BOC I, BOC II และ BOC III ในปี 2014, 2016 และ 2018 ตามลำดับ โดยแต่ละรุ่นผลิตแค่ 250 เรือน แต่ละเรือน Blancpain จะนำเงิน 1,000 ยูโร/เรือน ไปบริจาคให้กับองค์กรที่สนับสนุนการอนุรักษ์และปกป้องท้องทะเลทั่วโลก
ส่วนการตลาดในแคมเปญ Motorsport นั้นทางแบรนด์เองก็ประกาศตัวเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันรายการต่างๆ ของ British GT Championship ไม่ว่าจะเป็น Blancpain GT Series Asia, Blancpain GT Series Europe และ The Blancpain Sports Club
ในขณะที่พาร์ตสุดท้าย Art of Living หรือ Art de Vivre ในภาษาฝรั่งเศส ขับเคลื่อนจากแนวคิดของแบรนด์ที่เคยเกริ่นไปข้างต้นว่า DNA ของแบรนด์เป็นงานศิลปะ Blancpain เชื่อว่าการ Watchmaker กับ Chef คือศิลปิน ทั้งสองศาสตร์นี้ก็สร้างงานศิลปะเหมือนกัน ต่างกันก็แค่รูปแบบที่นำเสนอ ความเชื่อมโยงของสองศาสตร์นี้ยังเห็นได้จากการมองหาความเป็นที่สุด Watchmaker ต้องผลิตนาฬิกาที่ดีที่สุด Chef ต้องรังสรรค์เมนูที่ดีที่สุด และการจะผลิตงานมาสเตอร์พีซได้นั้นยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการทำและแพสชัน
แคมเปญ Art of Living มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1986 โดย Blancpain ผลิตนาฬิกาเรือนพิเศษที่แกะสลักมอบให้แก่เชฟ Frédy Girardet เพื่อเฉลิมฉลองรางวัล ‘Best Chef in the World’ นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ Blancpain มีเชฟชั้นนำที่เป็นพาร์ตเนอร์ทั่วโลกกว่า 100 คน อาทิ Marc Haeberlin, Michel Troisgros, Edgard Bovier, Dani García, Martín Berasategui และ Holger Bodendorf อีกทั้งมีการเปิดตัวเชฟหน้าใหม่ในฐานะ Friend of Blancpain อยู่เสมอ และยังเป็นพันธมิตรกับเครือโรงแรมที่มีชื่อเสียง เช่น Relais & Châteaux และ Leading Hotels of the World ไปจนถึงการสนับสนุนการแข่งขันการทำอาหาร Bocuse d’Or Suisse และ Auction Napa Valley การประมูลไวน์เพื่อการกุศลที่ทรงเกียรติที่สุดในโลก
ทำไม Blancpain จึงเชื่อว่า การผลิตนาฬิกากับการรังสรรค์เมนูอาหารคืองานศิลปะเหมือนกัน
ถ้ามองให้แง่ของ ‘ชิ้นงาน’ การรังสรรค์เมนูอาหารกับการออกแบบนาฬิกาสักเรือน ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่จะหยิบจับวัตถุดิบรอบตัวมาปรุงอาหาร หรือเลือกใช้วัสดุที่แบรนด์ไหนก็หาได้มาผลิตคอลเล็กชันใหม่ แม้จะเริ่มต้นจากสิ่งธรรมดา แต่ปลายทางจะกลายเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับไอเดียใครจะแปลกใหม่กว่ากัน ฝีไม้ลายมือใครจะเหนือชั้นกว่ากัน ก็รังสรรค์งานศิลปะที่ทำให้คนยอมจ่ายเพื่อได้ ‘ครอบครอง’ และ ‘ลิ้มลอง’
Joël Robuchon เชฟชาวฝรั่งเศสผู้ล่วงลับ บุคคลที่ครองดาวมิชลิน 32 ดวง มากที่สุดในโลก จากภัตตาคารที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทั้งในปารีส นิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ และได้รับตำแหน่ง ‘เชฟแห่งศตวรรษ’ จาก Gault et Millau ไกด์บุ๊กชื่อดังของยุโรป ก็เป็นหนึ่งในเชฟที่ Blancpain มอบนาฬิกาสลักชื่อให้แก่เขา อีกทั้งที่ร้านอาหารของเขาทุกร้านจะมีนาฬิกาแขวนของ Blancpain ประดับอยู่ภายในร้าน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันที่ทั้งเขาและ Blancpain มีให้ต่อกัน โดยโรบูชงน่าจะเป็นเชฟมิชลินที่นักชิมตัวจริงคุ้นชื่อเป็นอย่างดี และเป็นตัวอย่างที่อธิบายจุดรวมของศาสตร์การปรุงอาหาร และการประดิษฐ์นาฬิกาได้อย่างชัดเจน
โจเอล โรบูชง ได้ชื่อว่าเป็นเชฟที่มีความเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ในตัวสูง แม้วัตถุดิบที่อยู่ในมือจะธรรมดาขนาดไหน เขาก็ทำให้กลายเป็นเมนูเลิศรส พร้อมเรื่องเล่าที่มาจากแรงบันดาลใจในการรังสรรค์เมนู ใครจะเชื่อว่าเรื่องเล่าเหล่านั้นกลับสร้างมูลค่าให้เมนูได้เท่ากับรสชาติ ทุกเมนูของเขาจึงไม่ใช่แค่ ‘อาหาร’ ที่กินแล้วอิ่ม มันคืองานศิลปะที่อิ่มตั้งแต่เห็น ได้กลิ่น และลิ้มรส สิ่งเหล่านี้จะออกมาเป็นงานศิลปะชิ้นเอกไม่ได้ถ้า ‘คนทำ’ หรือ ‘คนปรุง’ ไม่มีแพสชันต่อสิ่งที่ทำ
Watchmaker ก็เช่นกัน การจะรังสรรค์งานศิลปะจากสิ่งที่แบรนด์ทั่วโลกก็มี วัสดุที่เครื่องจักรไหนๆ ก็ผลิตได้ นวัตกรรมที่ใครก็ตามทัน สิ่งเดียวที่จะทำให้นาฬิกาทุกคอลเล็กชันกลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซ อยู่ที่ศิลปะการออกแบบ ศิลปะการคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถสื่อสารกับคนทั่วโลกได้ ใส่เรื่องเล่าไว้ในชิ้นงาน นั่นคือคุณค่าที่อยู่ในงานศิลปะที่ผู้ครอบครองต้องรับรู้ได้ตั้งแต่ตาเห็น มือสัมผัส จนกระทั่งสวมใส่
นาฬิกา Blancpain รุ่น Villeret Tourbillon Volant Heure Sautante Minute Rétrograde
บางทีงานศิลปะอาจจะเข้าถึงง่ายกว่าที่คุณคิด ถ้าได้รู้ว่าจุดเริ่มต้นของงานศิลปะที่อยู่รอบตัวคุณมีจุดเริ่มต้นไม่ต่างกัน เราอยากให้คุณเข้าถึงงานศิลปะชั้นสูงได้มากกว่านี้ แม้จะไม่ได้เข้าใกล้ในฐานะผู้ครอบครอง แค่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในเรื่องราวประวัติศาสตร์ก็สุนทรีย์ต่อชีวิตแล้ว
ปลายเดือนสิงหาคม Blancpain กำลังจะมีอีเวนต์ระดับโลกภายใต้แคมเปญ Art of Living หนึ่งในไฮไลต์ครั้งนี้คือการประกาศรายชื่อร้านอาหารในประเทศไทยที่จะได้เข้าไปอยู่ในลิสต์ร้านอาหารที่สะท้อนปรัชญาของ Blancpain จะมีเซอร์ไพรส์อะไรเกิดขึ้นในงานบ้าง…ต้องติดตาม ที่แน่ๆ คงได้เห็นเมนูที่รังสรรค์โดยเชฟระดับหัวกะทิ และเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องเป็นเมนูที่เลิศเลอไร้ที่ติอย่างแน่นอน โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.blancpain.com
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์