×

ติ๊ก-เจษฎาภรณ์, ตั้น-พิเชษฐ์ไชย ผลดี กับเรื่องราวเคล้ากลิ่นดิน กลิ่นป่า ที่สองพี่น้องร่วมสร้างมาพร้อมกัน ผ่านรายการ ‘เนวิเกเตอร์’

02.08.2019
  • LOADING...
Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

ปรัชญาพุทธว่าไว้ ‘ไม่มีอะไรยั่งยืนอยู่กับเราตลอดไป’ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงเห็นด้วย และยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ ไม่วายแม้แต่กับเรื่องของ ‘ความทรงจำ’ ที่บางเรื่องแม้เลือนหาย แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีความรู้สึก ความสุข ความทรงจำอีกชนิดที่จะติดฝังตรึงอยู่กับความรู้สึก แม้แต่รายละเอียดของผู้คน บทสนทนา กลิ่นของสายลม แสงแดด กรวด หิน ดิน ทราย หรือแม้แต่สีของท้องฟ้า ฯลฯ 

 

และ THE STANDARD POP เชื่อเหลือเกินว่า ‘กลิ่นของความทรงจำ’ ตลอดช่วงเวลากว่า 14 ปี ของรายการ เนวิเกเตอร์ นั้นยังคงหอมหวานอยู่ในความทรงจำของสองพี่น้องที่ใช้ระยะทางและระยะเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฐานะ ‘คนหัวป่า’ มาพร้อมกัน 

 

แนะนำเผื่อยังมีอีกหลายคนไม่ทราบ หลายปีที่ผ่านมา ภาพนักเดินทางและนักผจญภัยของ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ผ่านบทบาทผู้ดำเนินรายการ เนวิเกเตอร์ สารคดีท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กลายเป็นภาพจำควบคู่ไปกับผลงานการแสดงของเขาเสมอมา 

 

ขณะเดียวกันเบื้องหลังภาพจำเหล่านั้นก็มีน้องชาย ตั้น-พิเชษฐ์ไชย ผลดี ที่มีอีกสถานะ เป็นทั้งช่างภาพ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทาง ร่วมทุกข์ ร่วมสุข หัวเราะ ด่าทอ ถกเถียง ฯลฯ ตลอดระยะทางอันสมบุกสมบันของรายการ 

 

ท่ามกลางแสงสปอตไลต์ที่ฉายส่องไปที่พี่ชายในฐานะคนเบื้องหน้าตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ในวันนี้ หลังจาก เนวิเกเตอร์ เทปสุดท้ายออกอากาศไปเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน THE STANDARD POP คิดว่านี่น่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆ ช่วงเวลาสำคัญที่สองพี่น้องจะได้มาหย่อนก้น ทบทวนกลิ่นดิน กลิ่นป่า หลังจากเคยฝากรอยเท้า ร่วมผจญ แล้วถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาพร้อมๆ กัน

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

“ตั้นคือคนที่อยู่ใกล้ตัวผม เพราะฉะนั้นเขาคือสิ่งที่ดีที่สุดของผม อย่างเวลาเราต้องการไปลงพื้นที่ แต่ทีมงานไม่มีใครว่างเลย ผมไปกันสองคนได้ เพราะว่าเราต้องการแค่ภาพ เราอยู่บ้านเดียวกัน เวลาว่างพอกัน มันไปพร้อมกันได้ด้วยรถคันเดียว”-ติ๊ก 

ตั้งแต่ ‘เนวิเกเตอร์’ เทปสุดท้ายออกอากาศ คุณสองคนเข้าป่าหรือเดินทางน้อยลงไหม 

ติ๊ก: แน่นอน ต้องเข้าป่าน้อยลงอยู่แล้วครับ เพราะว่าปกติการทำงานของเรามันออกไปต่างจังหวัด พื้นที่ธรรมชาติ ทะเล ภูเขา น้ำตก ฯลฯ พอเรายุติบทบาทในความเป็นเนวิเกเตอร์แล้ว ก็เลยเหมือนกับไม่จำเป็นจะต้องไป การเดินทางของเราก็เลยน้อยลง เนื่องจากงานที่เรารับผิดชอบอยู่ตอนนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง 

 

ช่วงแรกๆ ที่มีข่าวว่ารายการเนวิเกเตอร์จะยุติการทำรายการ คุณสองคนคุยกันอย่างไรคิดนานไหม คิดเหมือนกันทั้งสองคนเลยไหม 

ติ๊ก: ก็ใช้เวลาพอสมควรนะครับ กว่าที่เราจะตัดสินใจได้ มันต้องกลั่นกรอง ถามตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าจะหยุดมันจริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่เรามีโอกาสถ่ายทำรายการ เนวิเกเตอร์ ตอนนั้นคิดว่าทำได้สักหนึ่งปีก็บุญโขแล้ว เพราะรายการของเรามันค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม อีกทั้งยังออกอากาศเฉพาะวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่ผ่านไป 1 ปีก็แล้ว 2 ปีก็แล้ว จนเข้าสู่ปีที่ 5 มันก็น่าจะพอแล้ว แต่มันกลับมีปีต่อๆ มาจนไปถึงปีที่ 14 เข้าสู่ปีที่ 15 

 

จนมาถึงวันนี้ ผมคิดว่าเราได้มีโอกาสเล่าเรื่องต่างๆ ทุกๆ กระบวนการเล่าเรื่องของธรรมชาติแล้ว และเนื่องจากว่าตัวผมเอง รวมถึงตั้นด้วย เรามีภาระหลายอย่าง ฉะนั้นพอไม่ค่อยมีเวลา ไปเซอร์เวย์ได้ไม่เพียงพอ ด้วยกระบวนการการถ่ายทำที่มีจำกัด ถ่ายทำเสร็จแล้ว การตัดต่อที่ต้องเร่งรีบ ฯลฯ ขณะเดียวกัน เราก็ค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพ ดังนั้นถ้าเกิดว่างานไม่ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานของผมเท่าไรนัก เราหยุดก่อน หยุดมันก่อนที่จะมีผลงานแย่ๆ ออกมา

 

การมาของรายการ ‘เจ้าป่าเข้าเมือง’ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจครั้งนี้ด้วยไหม 

ติ๊ก: ไม่เกี่ยวครับ เพราะว่า เจ้าป่าเข้าเมือง ไม่ได้กินเวลาผมเยอะ คือ เจ้าป่าเข้าเมือง เป็นอะไรที่วิเศษสำหรับผมมาก เพราะทำ เนวิเกเตอร์ ผมไป 3-4 วัน บางทีไปนานเป็นอาทิตย์ แต่ไปถ่าย เจ้าป่าเข้าเมือง ผมไปถ่ายครึ่งวัน ผมได้ตอนหนึ่งแล้ว บางทีถ่ายเสร็จผมร้อง เฮ้ย เสร็จแล้วเหรอ กลับบ้านได้แล้วเหรอ พรุ่งนี้ตัดต่อเสร็จแล้วหรอ ผมตกใจมากเลย (หัวเราะ) คือผมผ่านชีวิตการทำรายการที่มันยากลำบากมาเยอะไง แล้ววันหนึ่งพอเจออะไรแบบนี้ มันเลยโคตรของโคตรสบายเลยครับ

 

ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ติ๊ก เจษฎาภรณ์ แทบจะเป็นภาพจำของรายการ เนวิเกเตอร์ ขณะเดียวกันน้องชายอย่างตั้นก็จะเป็นคนทำหน้าที่ช่างภาพ น่าสนใจเหมือนกันนะว่าทำไมตอนเริ่มต้นทำรายการคุณตกลงกันอย่างไร ทำไมตั้นต้องถ่าย ติ๊กต้องเป็นพิธีกร 

ตั้น: คือรายการ เนวิเกเตอร์ มันเกิดจากไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของพี่ติ๊กและผมด้วย ที่เราชอบการผจญภัย ไปท่องเที่ยว เดินป่า ไปทะเล กันอยู่ก่อนแล้ว แล้วก็ในช่วงนั้นประมาณปี 2547-2548 รายการในแบบที่เราอยากทำยังไม่ค่อยมี เพราะมันเฉพาะกลุ่มมาก ถ้าอย่างนั้นลองทำรูปเล่มเพื่อไปเสนอช่อง 3 ดูดีกว่าว่าจะผ่านไหม

 

ติ๊ก: ย้อนกลับไปคือตอนนั้นเราอยากจะทำรายการสักรายการหนึ่ง แต่ตอนแรกตั้นเขาสนใจเรื่องกีฬา เรื่องฟุตบอล ฉะนั้นถ้าจะให้ผมช่วยเขาทำรายการมันก็คงไม่ได้ เพราะผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้ โค้ชทีมต่างๆ นักเตะ ตัวผู้เล่นผมก็ไม่ค่อยรู้จัก เราก็มองว่าน่าจะทำรายการที่เป็นสิ่งใกล้ตัวของผม เพราะผมเป็นผู้ดำเนินรายการ เราก็ควรจะถ่ายทอดในสิ่งที่เรามีไลฟ์สไตล์แบบนั้น 

 

ผมเป็นคนชอบเดินทาง ท่องเที่ยว ผจญภัย ส่วนที่ตั้นบอกไปเมื่อสักครู่ว่ารายการแบบที่เราทำยังมีไม่เยอะ ผมก็ต้องบอกเสริมอีกหน่อยว่าถ้าเป็นรายการท่องเที่ยวมันมีเยอะ แต่รายการท่องเที่ยวที่เป็นรูปแบบผจญภัยมีไม่เยอะ และผมว่ามันก็ถ่ายทอดจากตัวเราจริงๆ เราก็เลยทำตัวอย่างของรายการ เนวิเกเตอร์แล้วนำไปเสนอกับทางช่อง 3 

 

พี่ชายอินการผจญภัย การเข้าป่ามากๆ น้องชายทำงานอยู่เบื้องหลัง อินเหมือนกัน มากหรือน้อยไปกว่ากันขนาดไหนครับ 

ตั้น: ผมอาจจะอินสู้พี่ติ๊กไม่ได้ เพราะเราชอบกันคนละแบบ ผมชอบอยู่สนามฟุตบอล ชอบดูฟุตบอล ไปเที่ยวก็มีบ้าง แต่วันหนึ่งพอต้องออกไปทำรายการ เนวิเกเตอร์ ผมรู้สึกว่ามันคืองานของพวกเราเอง เราต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนผมทำได้หมด 

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ตั้น-พิเชษฐ์ไชย ผลดี

“เราชอบกันคนละแบบ ผมชอบอยู่สนามฟุตบอล ชอบดูฟุตบอล ไปเที่ยวก็มีบ้าง แต่วันหนึ่งพอต้องออกไปทำรายการเนวิเกเตอร์ ผมรู้สึกว่ามันคืองานของพวกเราเอง เราต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนผมทำได้หมด”-ตั้น

แล้วตอนไหนที่มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนว่า ติ๊กจะเป็นพิธีกรอยู่หน้ากล้อง น้องชายจะเป็นช่างภาพ คอยเก็บภาพอยู่หลังกล้อง 

ติ๊ก: คือเทปแรกในตอนนั้นตั้นยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำเบื้องหลัง เพราะผมจะจ้างทีมงานที่เป็นผู้ผลิต เขาก็จะมีทั้งโปรดิวเซอร์ คนทำบท ช่างภาพ แล้วผมทำหน้าที่เพียงแค่เป็นผู้ดำเนินรายการ เขาก็จะคอยตาม คอยบอกว่าผมควรทำอะไรบ้าง นอกจากนั้นผมก็จะมีส่วนร่วมในการประชุม วางแผน เพราะว่าที่ที่เราจะไปถ่ายรายการก็ควรจะเป็นสถานที่ที่ผมอยากไปด้วย 

 

แต่พอเวลาผ่านไป เราเริ่มที่จะเข้าใจงานเบื้องหลังมากขึ้น บวกกับการที่เราได้อยู่กับวงการบันเทิงมาพอสมควร ตอนนั้นเราเริ่มเห็นปัญหา เริ่มรู้สึกว่าบางทีเวลานัดเราไม่ตรงกับช่างภาพ วันนี้เราว่าง เราอยากไป แต่ช่างภาพไม่มีคิว มันก็เลยเริ่มเข้ามาสู่กระบวนการของตั้น ที่ความจริงเขาก็เดินทางไปกับผมและทีมงานด้วยอยู่แล้ว 

 

ตั้น: พูดตรงๆ ตอนแรกๆ ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นตากล้องนะครับ จนวันหนึ่งหลังจากเราทำรายการมาสักประมาณหนึ่ง ระหว่างนั้นพี่ติ๊กก็พยายามปูทางมาให้ผมเรื่อยๆ อย่างให้ตั้นช่วยถ่ายกล้องสอง จนวันหนึ่งตากล้องหลักคิวไม่ว่างอย่างที่พี่ติ๊กเล่าให้ฟัง แต่งานเราต้องไปพรุ่งนี้แล้ว ออกเดินทางตอนตีห้า พี่ติ๊กเขาก็บอกว่าให้ตั้นถ่ายเลยแล้วกัน 

 

พอมันต้องเป็นกล้องหลัก ผมก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะ แล้วที่เคยถ่ายๆ มาก่อนหน้านั้นผมก็ถ่ายไม่ค่อยเก่งหรอก แต่เราก็ค่อยๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้ทำ แก้ไขข้อผิดพลาดของเรามาเรื่อยๆ  

 

ติ๊ก: ผมก็ต้องเคี่ยวเข็ญเขา ต้องค่อยๆ เริ่ม คือผมจะเป็นคนที่รู้เองหมดทุกอย่างไม่ได้ ผมรู้เท่าไรเขาต้องรู้ด้วย เช่น เรื่องกล้องผมเป็นคนจับกล้องอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นให้ถ่ายคนอื่นผมทำได้สบาย แต่ถ้าเกิดผมต้องเป็นผู้ดำเนินรายการ แล้วใครถ่ายกูวะ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น ผมก็เลยต้องให้เขามาช่วย 

 

แล้วเริ่มตั้งแต่นับหนึ่งใหม่เลย ค่อยๆ บอกเขาว่าสิ่งนี้คืออะไร วิธีการถ่ายทำ เทคนิคที่ดีที่สุด ผมบอกอยู่เสมอว่า เมื่อถ่ายมาแล้ว จะอะไรก็แล้วแต่ เราจะเป็นช่างภาพที่ดีได้ ต้องเช็กฟุตเทจที่คุณถ่ายมาทั้งหมด คุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณถ่ายมามันเป็นแบบไหน ถ้ามีปัญหาจะได้แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดทัน 

 

ตั้น: ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วผมไม่ได้จบมาทางด้านนี้ ผมจบนิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์ วิชาถ่ายภาพมันมีแค่ 1-2 ครั้ง แล้วพูดตรงๆ ว่า พอต้องทำงานวิชาถ่ายภาพไปส่งอาจารย์ ผมก็จะให้พี่ติ๊กถ่ายให้ 

 

ติ๊ก: อาจารย์ครับ ช่วยเอาใบปริญญาคืนไปด้วยครับ (หัวเราะ) 

 

ตั้น: ฉะนั้นเรื่องถ่ายภาพมันห่างไกลจากตัวผมมาก แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายไปเพื่ออะไร ถ่ายไปทำไม จนวันหนึ่งพอได้มาทำรายการ เราได้ศึกษา เริ่มได้จับ ได้ถ่าย เริ่มสนุก ผมเป็นคนเรียนรู้จากสิ่งที่เห็น เน้นถ่ายเยอะ แต่จะไม่ได้รู้ทฤษฎีอะไรมาก ส่วนใหญ่เป็นกาเรียนรู้จากสิ่งที่พี่ติ๊กสอน  

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ตั้น-พิเชษฐ์ไชย ผลดี

“ด้วยความที่เราต้องอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง มันคือความไว้ใจและต้องเข้าใจกัน เพราะเวลาไปอยู่ตรงนั้น ผมไม่ได้มีมุมมองที่น่ารักสดใส เวลาทำงานผมมีอารมณ์โมโหดุดัน ซีเรียส แล้วก็สะเปะสะปะทำงานด้วย, เราต้องการคนที่ไปแล้วอยากจะทำงานจริงๆ อยากจะไปเห็นธรรมชาติจริงๆ”-ติ๊ก

นอกจากความเป็นพี่ ก็ยังมีความเป็นโค้ชของน้องชายด้วย 

ติ๊ก: ก็ประมาณนั้นครับ ตั้นคือคนที่อยู่ใกล้ตัวผม เพราะฉะนั้นเขาคือสิ่งที่ดีที่สุดของผม อย่างเวลาเราต้องการไปลงพื้นที่ แต่ทีมงานไม่มีใครว่างเลย ผมไปกันสองคนได้ เพราะว่าเราต้องการแค่ภาพ เราอยู่บ้านเดียวกัน เวลาว่างพอกัน มันไปพร้อมกันได้ด้วยรถคันเดียว 

 

ส่วนในเรื่องของการถ่ายภาพ การที่เราใช้กล้องบ่อยๆ มือไม้เราจะรู้ว่าปุ่มต่างๆ มันอยู่ตรงไหน หมุนตรงนี้ปรับโฟกัส กดตรงนี้บันทึกภาพ ฯลฯ แค่นั้นเองครับ แล้วทีมงานของผมก็แทบจะไม่มีใครอยู่ในวงการบันเทิงเลย ทุกคนมาจากต่างที่ หลายสาขา ขอแค่คุณมีใจรัก แต่ละคนสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้มากกว่าหนึ่งอย่าง เราช่วยๆ กัน เราไปพร้อมกัน ไปร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน

 

คุณเลือกสรรทีมงานที่เข้าป่าไปทำรายการจากอะไรครับ ความสนิทสนม ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความรักธรรมชาติ ฯลฯ 

ติ๊ก: ด้วยความที่เราต้องอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง มันคือความไว้ใจและต้องเข้าใจกัน เพราะเวลาไปอยู่ตรงนั้น ผมไม่ได้มีมุมมองที่น่ารักสดใส เวลาทำงานผมมีอารมณ์โมโหดุดัน ซีเรียส แล้วก็สะเปะสะปะทำงานด้วย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องการคนที่มาแล้วรู้สึกว่าได้ไปเที่ยวกับพี่ติ๊กมาแล้ว ได้แชะภาพด้วยกันวันหนึ่ง แต่เราต้องการคนที่ไปแล้วอยากจะทำงานจริงๆ อยากจะไปเห็นธรรมชาติจริงๆ ยิ่งเขาเป็นคนที่มีมุมของความรักธรรมชาติอยู่ในหัวใจอยู่ก่อนแล้ว อันนี้ยิ่งเพอร์เฟกต์เลย  

 

ถึงเวลาทำงาน เป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทาง ติ๊ก เจษฎาภรณ์ แตกต่างกันกับความเป็นพี่ชาย ความเป็นพระเอกที่คนทั่วไปรู้จักไหม หรือคาดหวังไหม  

ตั้น: พอเวลาพี่ติ๊กทำงาน เขาจะค่อนข้างมุ่งมั่น ทุ่มเท แล้วก็จริงจัง ไม่เสร็จไม่เลิกครับ ปกติคนทั่วไปเวลาทำงานก็จะมีเวลาเข้างาน เลิกงาน แต่ของเราทำงานกันแบบไม่เสร็จไม่เลิก แล้วพอเราทำงานกับพี่ติ๊กไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปด้วย พอเราเห็นพี่ติ๊กทำงาน เราก็รู้สึกว่าอยากจะช่วย อยากให้งานออกมาดีที่สุด 

 

อีกอย่างคือตอนเด็กๆ กับตอนโตสถานะมันจะต่างกัน ตอนเด็กๆ เราอยู่กันเหมือนเพื่อน อยู่ในบ้านเดียวกัน กินขนม เล่น ดูทีวีด้วยกัน ถึงตอนเช้าพ่อก็พาไปโรงเรียน เช้าแบบไปถึงคนแรกของโรงเรียน เพราะพ่อต้องไปทำงานต่อ เราก็จะอยู่ในโรงเรียน วิ่งเล่นกันสองคน พอโรงเรียนเลิก บางวันคุณพ่ออาจจะมีติดงานบ้าง เราก็ต้องอยู่กันสองคนจนถึงดึกๆ บางทีทุ่ม-สองทุ่มคุณพ่อถึงจะมารับ เราก็วิ่งเล่น ตีปิงปองกันอยู่ในโรงเรียน เป็นไลฟ์สไตล์ของเด็กๆ ทุกคนที่มีพี่  

 

แต่พอโตขึ้น ด้วยเรื่องของหน้าที่การงาน เราจะเริ่มเห็นความแตกต่างกัน พี่ติ๊กเขาอาจจะงานเยอะ เพราะเป็นพระเอก แต่ผมไม่เคยมองว่าพี่ชายหล่อกว่าอะไร ทัศนะของเรามองว่าเราหล่อกันคนละแบบ เรามีกันคนละสไตล์ (ยิ้ม)  

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

“ทีมงานของผมก็แทบจะไม่มีใครอยู่ในวงการบันเทิงเลย ทุกคนมาจากต่างที่ หลายสาขา ขอแค่คุณมีใจรัก แต่ละคนสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้มากกว่าหนึ่งอย่าง เราช่วยๆ กัน เราไปพร้อมกัน ไปร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน”-ติ๊ก

ติ๊ก: บ้านเราไม่ได้มีมุมมองแบบหวานๆ ไม่ว่าจะกับผม แม่ พ่อ น้อง บ้านเราจะรักกันแบบแมนๆ ไม่มีมากอดกัน กอดคอกัน แต่เรารู้สึกดีต่อกัน คือให้ผมนอนเต็นท์เดียวกับตั้น ผมก็นอนไม่ได้ เพราะผมก็ไม่ได้ชอบเบียดกับมัน (หัวเราะ) หรือการถ่ายรูปด้วยกันประกอบบทสัมภาษณ์เมื่อสักครู่ ปกติเราก็ไม่ได้อะไรแบบนี้ด้วยกัน แต่ว่าเราทำงานด้วยกันในฐานะของคนทำงาน และบังเอิญว่าเราก็เป็นพี่น้องกัน 

 

ในความเป็นพี่น้องกัน มันก็มีทั้งดีและไม่ดีนะครับ โอเค เราเดินทางไปด้วยกัน ว่างพร้อมกัน พูดเรื่องอะไรต่อมิอะไรด้วยกันได้ และถึงแม้จะตดในรถก็ตดด้วยกันได้ คือทำอะไรแบบเรียลๆ ด้วยกันได้ ไม่ถือสา (หัวเราะ) 

 

แต่ข้อเสียของความเป็นพี่น้องคือ ผมจะไม่ค่อยมีความเกรงใจเขา เพราะฉะนั้นถ้าตั้นเขาทำอะไรผิดพลาด หรือทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ผมก็จะหลุดต่อว่า หรือด่าได้เต็มที่ เพราะว่ามันไม่ใช่คนอื่น มันคือน้องเรา มันเลยมีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้นมากกว่าคนอื่น เพราะเขาอยู่กับผมมากกว่าคนอื่น แล้วพอคาดหวังมาก พอทำอะไรผิดพลาด ผมก็เลยยิ่งด่ามาก นี่คือระบบนิเวศของเราสองคนครับ (หัวเราะ)  

 

ส่วนใหญ่ดุกัน เตือนกันด้วยเรื่องอะไรครับ 

ติ๊ก: เรื่องของการทำงานในทุกๆ เรื่อง ถ่ายภาพไม่สวย ไม่ได้ดั่งใจ ทำไมไม่มีภาพนี้ เก็บของไม่เป็นระเบียบ ทำไมยังไม่เตรียมของ ทำไมยังไม่เตรียมงาน ไปเช็กฟุตเทจบ้างไหม 

 

ละเอียดยิบเลย 

ติ๊ก: ผมละเอียดเพราะว่าเขาจะมาเป็นตัวแทนผมได้ เพราะเรารู้สึกว่าเราฝากงานไว้กับเขาแล้วเราจะสบายใจ  

 

เคยโกรธไหมครับ 

ตั้น: ก็มีโกรธนะครับ แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยอะไร ถึงโกรธก็โกรธแป๊บเดียว โกรธง่ายหายเร็ว ไม่ค่อยได้คิดอะไร 

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

“ปกติคนทั่วไปเวลาทำงานก็จะมีเวลาเข้างาน เลิกงาน แต่ของเราทำงานกันแบบไม่เสร็จไม่เลิก แล้วพอเราทำงานกับพี่ติ๊กไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปด้วย พอเราเห็นพี่ติ๊กทำงาน เราก็รู้สึกว่าอยากจะช่วย อยากให้งานออกมาดีที่สุด”-ตั้น

มีอารมณ์แบบไม่อยากไปทำงานกับพี่ชายแล้วบ้างไหม 

ตั้น: บ่อยนะครับ ไม่อยากไปไม่พอ หนีกลับบ้านกลางคันยังมีเลย คือทะเลาะกันรุนแรง พี่ติ๊กเขาสไตล์พูดกันตรงๆ เขาไม่ได้คิดอะไรหรอก เขาก็ด่าไปเรื่อย กล้องยังไม่ได้เหรอวะ มุมนี้มันไม่ได้ เปลี่ยนมุมบ้าง ฯลฯ ด่าจนสุดท้ายผมฟีลขาด เฮ้ย ไม่ไหวแล้วเว้ย งั้นถ่ายเองแล้วกัน! แล้วก็โทรไปหาแม่บอกว่าจะกลับแล้ว ตั้งใจว่าเดี๋ยวไปขนส่ง นั่งรถ บขส. กลับบ้าน 

 

ระหว่างรอรถ แม่โทรมา “…เราไปเราก็ช่วยพี่เขา ถ้าเราไม่อยู่แล้วพี่เขาจะถ่ายยังไง ใครจะมาถ่ายให้” (หัวเราะ) พอแม่พูด เราก็จะเริ่มคิดได้ เริ่มเห็นใจ ถ้าเราไปแล้วใครจะถ่าย เพราะมีตากล้องอยู่คนเดียว เอาวะ นั่งมอเตอร์ไซค์ย้อนกลับไปถ่าย แล้วก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น เราต้องเป็นมืออาชีพ แล้วก็จับกล้องถ่ายต่อ 

 

ติ๊ก: ตั้นมันให้สัมภาษณ์หล่อมากเลย เราดูเป็นตัวโกงไปเลย นี่แสดงให้เห็นถึงอุตสาหกรรมครอบครัวจริงๆ เลยนะครับ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะโทรไปหาหัวหน้า โทรไปหาผู้บริหาร

 

ตั้น: แต่ตอนนั้นความรู้สึกผมคิดอย่างนี้จริงๆ คือผมเป็นพวกชอบดูฟุตบอล นักฟุตบอลอาชีพอยู่ทีมเดียวกันเขาก็ไม่ถูกกันนะ แต่ทำไมเขาเล่นด้วยกันได้ เช่นเดียวกัน การทำงานในวงการมันก็ต้องมีทะเลาะกัน แต่สุดท้ายก็ต้องช่วยกันทำให้งานมันผ่านพ้นไปได้ 

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

“เพราะว่ามันไม่ใช่คนอื่น มันคือน้องเรา มันเลยมีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้นมากกว่าคนอื่น เพราะเขาอยู่กับผมมากกว่าคนอื่น แล้วพอคาดหวังมาก พอทำอะไรผิดพลาด ผมก็เลยยิ่งด่ามาก นี่คือระบบนิเวศของเราสองคนครับ”-ติ๊ก

ไม่โกรธน้อง ดุดัน กดดันน้องเกินไปหน่อยเหรอครับ  

ติ๊ก: โกรธก็ส่วนโกรธนะครับ แต่งานผมต้องดำเนินต่อไป แล้วต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้เป็นคนโกรธพร่ำเพรื่อ ที่ผมโกรธก็เพราะว่าทุกอย่างเราได้วางแผนและพูดมาก่อนหน้านี้หมดแล้ว เราทำงานด้วยกันมาเยอะแล้ว ฉะนั้นพอถึงหน้างานก็ไม่ต้องพูดอะไรกันยืดยาว ทำไมเราจะต้องพูดเรื่องเดิมกันซ้ำไปซ้ำมาทุกรอบ 

 

คราวนั้นพอทะเลาะกันเรียบร้อย แล้วตั้นกลับมาจะถ่ายต่อ รู้ไหมว่าผมทำอะไรอยู่ ผมตั้งกล้องถ่ายตัวเอง ผมเซตกล้องโดยการให้ทีมงานไปยืนแทนผมหน่อย พอโฟกัสเรียบร้อย ผมก็ไปยืนหน้ากล้องแล้วให้ทีมงานกดเรคคอร์ด งานรันต่อ ผมก็ยังไม่เป็นไร ผมเป็นคนอย่างนี้ ใจสู้ แล้วในความเป็นมืออาชีพเราก็ต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ 

 

14 ปีที่ผ่านมา น้องชายเก่งขึ้นเยอะไหมครับ

ติ๊ก: ผมพยายามจะบอกให้เขามั่นใจ และกล้าตัดสินใจทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาคอยบอกว่าต้องถ่ายสิ่งนี้หนึ่ง ถ่ายสิ่งนี้สอง ถ่ายสิ่งนี้สาม ฯลฯ ทุกอย่างมันต้องผ่านกระบวนการครีเอตด้วยตัวเอง

 

ผมพยายามวางรากฐานให้กับเขา แล้วก็คิดอยู่เสมอว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีรายการ เนวิเกเตอร์ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ประสบการณ์ ทักษะ วิชาความรู้ต่างๆ เหล่านี้ คุณสามารถจะเอาไปทำงานอื่นต่อยอดได้ โดยไม่ต้องมาจมอยู่กับรายการ เนวิเกเตอร์ แค่รายการเดียว

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

“ผมพยายามถ่ายให้พี่ติ๊กออกมาดูดีที่สุด แล้วก็ไม่ได้คิดเลยว่านี่คือพระเอก ติ๊ก เจษฎาภรณ์นะ ผมคิดแค่ว่าเรามาทำงาน เราต้องได้ภาพสวยๆ ที่สามารถเล่าเรื่องกลับออกไปให้ได้”-ตั้น 

คนอื่นมองติ๊ก เจษฎาภรณ์ อย่างไรไม่รู้ บางคนอาจจะคิดว่าหล่อ บันเทิง อารมณ์ดี สุภาพ ฯลฯ แต่น่าสนใจว่าน้องชายที่คอยถ่ายภาพพี่ชายอยู่หลังกล้อง เห็นอะไรในตัวพี่ชายผ่านบทบาทพิธีกรรายการเนวิเกเตอร์บ้าง 

ตั้น: ผมพูดตรงๆ นะ ผมไม่เห็นอะไรเลย ผมไม่ได้อะไรเลยนอกจากโฟกัสให้ชัด ภาพสวย เฟรมถูกต้อง ผมจะเน้นแสงธรรมชาติเป็นหลัก หามุมที่แสงเข้าหน้า แล้วพี่ผมต้องโอเค ผมอาจจะชี้ๆ ยุ่งๆ บ้างนิดหน่อย แต่ผมพยายามถ่ายให้พี่ติ๊กออกมาดูดีที่สุด แล้วก็ไม่ได้คิดเลยว่านี่คือพระเอก ติ๊ก เจษฎาภรณ์นะ ผมคิดแค่ว่าเรามาทำงาน เราต้องได้ภาพสวยๆ ที่สามารถเล่าเรื่องกลับออกไปให้ได้  

 

ติ๊ก: จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ผมไม่ได้มองว่าใครถ่ายเก่ง ถ่ายไม่เก่ง แต่ผมมองว่าใครที่มีมุมมองดีกว่ากัน ในการเดินทางไปในแต่ละสถานที่ ที่ไม่เหมือนกันเลยในแต่ละเทป แล้วที่สำคัญกว่านั้นคือความอดทน คุณอดทนต่อความยากลำบากได้มากน้อยขนาดไหน คุณทนเหนื่อยได้ขนาดไหน คุณไปอยู่กับดิน กินกับทราย นอนไม่สบายอยู่ในเต็นท์กลางป่าได้มากขนาดไหน

 

เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันต้องมาด้วยทักษะ ร่างกาย ความอดทน ประสบการณ์ หัวใจที่รัก และอยากจะไปเห็นจุดหมายปลายทางเดียวกัน ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าที่จะเป็นช่างภาพ เพราะต่อให้เป็นช่างภาพระดับถ่ายงานให้ สตีเวน สปีลเบิร์ก มาก่อน แต่เขาไม่ชอบสิ่งเหล่านี้ก็ร่วมทางกันไม่ได้ นึกออกไหมครับ แต่ถ้าถามว่าอยากได้ช่างภาพแบบ National Geographic หรือเปล่า ก็อยากได้นะ (หัวเราะ)

 

เคยได้ยินว่ายิ่งเดินทางไกลเท่าไร ลำบากมากเท่าไร เราจะยิ่งได้เห็นตัวตนของคนคนนั้นมากขึ้น ลึกขึ้นเรื่อยๆ คอนเฟิร์มให้หน่อยว่าจริงไหม เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย 

ติ๊ก: แน่นอนนะ ถ้าไปอยู่ด้วยกันมันคือตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะครับ มันเห็นหน้าเห็นตากัน กินด้วยกัน นอนอาจจะคนละเต็นท์ คนละเปล แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และด้วยความที่ผมเป็นพี่ของเขา เราถูกปลูกฝังในเรื่องของการเป็นผู้นำ ความเสียสละมาตั้งแต่พ่อของผม ว่าพี่ต้องเสียสละให้น้อง พี่ต้องเป็นผู้นำให้กับน้อง แต่อีกมุมผมก็เป็นพี่ที่อายุห่างกันเพียงปีเดียว มันเหมือนเป็นเพื่อน เราก็เลยคุ้นเคยกันมาก คุยกันถนัด ไม่มีเรื่องของวัยมาเป็นตัวขวางกั้น 

 

ระบบนิเวศในป่าที่พวกคุณเดินทางเข้าไปเป็นอย่างไรบ้างไม่รู้ แต่อยากรู้ว่าสรุปแล้ว ‘ระบบนิเวศ’ ระหว่างพี่น้องในกองเนวิเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง พี่น้อง กับเพื่อนร่วมงาน คุณมีขอบเขตไหมว่าต้องแค่ไหนถึงจะพอดี 

ตั้น: เราเหมือนเป็นระบบนิเวศที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันครับ เวลาอยู่ในกองพี่ติ๊กเขาเป็นทั้งครีเอทีฟ ผู้กำกับ ช่างภาพ คนขับรถ และเป็นพิธีกรในคนคนเดียว ส่วนผมก็จะเป็นเหมือนผึ้งงานที่ทำงานตามใบสั่งได้ทุกอย่าง เรามีแรง มีความแข็งแกร่ง แต่เราขาดความครีเอทีฟ ฉะนั้นพี่ติ๊กเขาจะคอยบอกว่าอยากได้แบบไหน ภาพแบบไหน เคลื่อนกล้องไปยังไง อยากใช้โดรนถ่าย ผมทำได้หมด 

 

ติ๊ก: ส่วนผมเป็นภัยธรรมชาติก็ได้ครับ (หัวเราะ) คือถ้าพูดถึง ‘ธรรมชาติ’ เราพอจะรู้ว่าหมายถึงอะไรบ้าง แต่ว่าเราไปบังคับธรรมชาติไม่ได้ เช่น เราอยากถ่ายกวาง อยากถ่ายนก เราไปบังคับให้กวางเดินผ่านกล้อง ให้นกบินผ่านกล้องตามจุดที่เราวางไว้ไม่ได้ เพราะธรรมชาติคือธรรมชาติ ผมเองก็เป็นแบบนั้น  

 

น้องๆ ที่เรียนมาทางด้านนี้อย่าเอาการทำงานแบบนี้เป็นตัวอย่าง เพราะผมค่อนข้างที่จะไม่ได้มีกฎเกณฑ์หรือแบบแผนตายตัว และถ้าคุณเรียนมาตามตำรา การทำงานในกองถ่ายต้องเป็นระบบแบบนั้นแบบนี้ คุณลืมไปได้เลยในกองผม (หัวเราะ) 

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

“เพราะว่ามันไม่ใช่คนอื่น มันคือน้องเรา มันเลยมีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้นมากกว่าคนอื่น เพราะเขาอยู่กับผมมากกว่าคนอื่น แล้วพอคาดหวังมาก พอทำอะไรผิดพลาด ผมก็เลยยิ่งด่ามาก นี่คือระบบนิเวศของเราสองคนครับ”-ติ๊ก

งานมันยากขนาดนี้ ทรหดขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นอะไรคือเสน่ห์ อะไรคือความคุ้มค่าที่ได้ทำ เพราะถ้าทำงานอยู่ในเมือง น่าจะหาเงินได้มากกว่าแน่ๆ 

ติ๊ก: ก็ถูกต้องครับ พูดจริงๆ ส่วนหนึ่งคือผมทำงานได้เงินจากการเป็นนักแสดง แต่ว่างานตรงนี้คือความภาคภูมิใจเมื่อเวลามันได้ออกอากาศ ผมไม่แน่ใจว่าคนดูทางบ้านดูแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ผมก็หวังว่าเขาจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำ คนดูหลายท่านที่อาจจะไม่มีโอกาสได้ไป หรือไม่ได้ทำงานอยู่ในผืนป่าแห่งนั้น เขาจะได้เรียนรู้ว่าที่ที่เราไปนั้นสวยงามแค่ไหน ขณะเดียวกันพอเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราก็ภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น ที่เราเป็นส่วนหนึ่งในผืนป่าแห่งนั้นโดยไม่ได้ทำลายธรรมชาติเลย 

 

การจะทำแบบนั้นได้ เราต้องเข้าป่าไปด้วยความรู้สึกแบบไหนเหรอครับ 

ติ๊ก: เคารพ นอบน้อม ถ่อมตน ไม่ทำลายธรรมชาติ ทุกอย่างในนั้นเป็นเพื่อนเรา เรารักพวกเขา ไม่เคยกลัวสิ่งใดๆ เลย สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคือกลัวคน ออกจากป่ามันวุ่นวาย หนวกหู เราเห็นคนมักง่าย เห็นแก่ตัว โลภ เบียดเบียนธรรมชาติ ทำร้ายกัน แก่งแย่งกัน อะไรแบบนี้ครับ 

 

ในฐานะคนเมืองที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวป่า ป่าในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้างครับ 

ติ๊ก: ตั้นมองหน้าผม ตั้นก็อาจจะบอกว่า ติ๊ก มึงอย่าพูดความจริงนะ ธรรมชาติความจริงหมายถึงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ ทะเล ภูเขา แหล่งน้ำ ฯลฯ ผมว่ามันน่าเห็นใจนะ เพราะเราต่างก็รู้อยู่แล้วว่า ‘สัตว์ผู้มาพร้อมวิสัยทำลายก็คือมนุษย์’ ตอนนี้มันถึงเกิดภาวะโลกร้อน ป่าน้อยลง ไฟไหม้ป่า เผาป่า บุกรุกทำลาย เกิดป่าเสื่อมโทรม คนก็เข้าไปใช้ประโยชน์จากผืนป่ามากมาย 

 

ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมพูดมา ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เพราะสัตว์ต้องมีป่า เพราะป่าเป็นแหล่งอาศัย อาหาร ขณะเดียวกันป่าก็ต้องการการมีอยู่ของสัตว์ เพราะสัตว์หลายๆ ชนิดเป็นตัวกระจายพันธุ์ของพืช ทุกชีวิตในนั้นล้วนแต่มีหน้าที่ของตัวเอง อย่างสัตว์เลื้อยคลาน แมลงต่างๆ อาจจะเป็นอาหารของสัตว์อื่น หรือพอมีป่า ก็มีแหล่งน้ำ สัตว์ก็อาศัยกิน แมลงหลายๆ ชนิดก็ไปวางไข่ ฟักไข่ในน้ำ ฯลฯ แล้วทั้งหมดที่ผมพูดมาก็มีความสำคัญ และมีผลกระทบต่อเราหมดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นฝนที่ตกลงมา ทำไมถึงเกิดภัยธรรมชาติ ทำไมน้ำถึงท่วม  

 

ผมไม่อยากจะเห็นว่าพอธรรมชาติถูกทำลายไปแล้ว มันเหลือน้อยแล้ว เราก็เลยมาเริ่มห้ามโน่นห้ามนี่ ห้ามใช้ ห้ามเข้าไป เพื่อให้เกิดการฟื้นฟู ซึ่งมันไม่แฟร์สำหรับคนที่โหยหาธรรมชาติ คนที่เคารพและอยากจะเข้าไปเห็นความสวยงามของธรรมชาติเหล่านั้น แต่ต้องรออีก 2-3 เดือน ทั้งทีเราควรจะมองที่ต้นเหตุของปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องของระบบการจัดการ

 

ถ้าเราสามารถสร้างระบบจัดการที่ดีเหมือนอย่างที่ในหลายๆ ประเทศเขาทำสำเร็จ เราก็จะสามารถเที่ยวได้ตลอดโดยที่ไม่มีการทำลายธรรมชาติ แถมยังสามารถทำรายได้ให้กับประเทศชาติ หรือสร้างเม็ดเงินให้กับคนในท้องถิ่นอย่างมากมายมหาศาล ไม่ใช่ว่าปิดไป 3 เดือน ให้ธรรมชาติฟื้น แล้วเปิดให้เที่ยว 4 เดือน คนก็เข้ามาเที่ยว มาทำลาย แล้วก็ปิดอีก ไม่ใช่แบบนั้นสิครับ มันควรจะต้องอยู่ของมันโดยปกติ ฟื้นฟูของมันโดยปกติ ไม่มีการทำลายโดยปกติ ทุกๆ คนสามารถไปใช้ประโยชน์จากมันได้ตามปกติ ซึ่งใครๆ ก็สามารถไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ตามปกติ ถ้ามีการจัดการที่ดี

 

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

“ผมพยายามวางรากฐานให้กับเขา แล้วก็คิดอยู่เสมอว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีรายการเนวิเกเตอร์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ประสบการณ์ ทักษะ วิชาความรู้ต่างๆ เหล่านี้ คุณสามารถจะเอาไปทำงานอื่นต่อยอดได้ โดยไม่ต้องมาจมอยู่กับรายการเนวิเกเตอร์แค่รายการเดียว”-ติ๊ก

ตั้น: ผมคิดแบบเดียวกับพี่ติ๊กทั้งหมดเลยครับ ผมว่าเรื่องธรรมชาติ เรื่องป่า ทะเล ภูเขา ฯลฯ เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ทุกๆ คนต้องช่วยกัน เพียงแต่เราก็ต้องปลูกฝังจิตสำนึกให้เห็นภาพว่า ถ้าคุณทิ้งขยะ มันจะมีผลกระทบต่างๆ ตามมามากมาย เช่น ถ้าทิ้งขยะในทะเล สัตว์ทะเลไปกิน สัตว์ทะเลก็ตาย อย่างที่เราเห็นกันอยู่ตามข่าว หรือถ้าเราตัดไม้ทำลายป่า ผลที่ตามมาคือภัยธรรมชาติมากมาย 

 

ถามจริงๆ เคยอยากจะเล่นการเมืองบ้างไหมครับ  

ติ๊ก: มีบางวูบนะครับ เพราะว่าเราเห็นสิ่งที่ไม่พัฒนา เราอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนามาไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ผมก็ได้ไปเจอนักวิชาการ อาจารย์ หรือเจอคนที่เขาทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับประเทศนี้มาเยอะเลย เพียงแต่ว่าคนพวกนี้เขาไม่ได้มีอำนาจ ทีนี้เราก็กลับไปมองว่า ทำไมคนมีอำนาจดันไม่มีมุมมองเหมือนเขา ความสามารถในเรื่องเหล่านี้ดันสลับกัน แล้วทำไมเราไม่สลับคืน เราอยากสลับคืนมากกว่า 

 

ฝันเล่นๆ ว่าถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรี คุณอยากจะเสนอนโยบายอะไรมากที่สุด 

ติ๊ก: ผมว่าผมจะสร้างคน อันนี้คือสิ่งสำคัญเลยครับ ถ้าจะถามต่อว่า เฮ้ย คิดอย่างเดียวไม่ได้นะ มันต้องมีความเป็นจริงที่จะทำได้ด้วย วิธีคือผมต้องเริ่มต้นจากเปลี่ยนวิธีคิดของคน โอเค มันอาจจะใช้เวลาเยอะ แต่ว่ามันต้องทำ มันจำเป็น ถ้าเราไม่สร้าง มันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ทุกวันนี้เราปล่อยปละละเลยจนเรื่องบางเรื่องมันกลายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

 

ผมว่าเราต้องย้อนกลับมาสู่การสร้างคนที่เกิดความมีระเบียบวินัย ไม่มักง่าย ไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ใช้ระบบสาธารณะอย่างเท่าเทียมกัน แล้วผมอยากให้ทุกๆ คนเป็นคนเท่ากัน ผิดคือผิด ถูกคือถูก ไม่มีใครพิเศษไปกว่าใคร 

 

ที่เหลือก็อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคนแล้วว่าใครจะต่อยอดโอกาส ขยันทำงานก็มีรายได้มากกว่าคนไม่ขยัน คุณเรียนสูง มีความรู้ ความสามารถก็ได้เงินเดือนมากกว่าคนอื่นๆ แต่ผมรู้ไงว่ามันยาก ตอนนี้เราเริ่มต้นจากการเป็นสื่อสารมวลชนที่ดีให้ได้ก่อน ผมว่ามันต้องเกิดจากการยอมรับของคนอื่นๆ ก่อน เพราะถ้ารู้สึกว่าเรายังไม่ดีพอ เราก็ยังไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าบอกใคร

 

Tik Jesdaporn Tun Pichetchai Pholdee

ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ตั้น-พิเชษฐ์ไชย ผลดี

“ทุกอย่างมันต้องมาด้วยทักษะ ร่างกาย ความอดทน ประสบการณ์ หัวใจที่รัก และอยากจะไปเห็นจุดหมายปลายทางเดียวกัน ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าที่จะเป็นช่างภาพ เพราะต่อให้เป็นช่างภาพระดับถ่ายงานให้ สตีเวน สปีลเบิร์กมาก่อน แต่เขาไม่ชอบกับสิ่งเหล่านี้ก็ร่วมทางกันไม่ได้”-ติ๊ก

 

ตอนนี้พอออกจากป่า มาทำรายการในเมือง คุณดูสนุก ตื่นตาตื่นใจกับโลกใหม่มากๆ แล้วฟีดแบ็กก็ดีมาก มีคลิปเป็นไวรัลเต็มไปหมด ตรงนี้น่าจะถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ทั้งของคุณ และทั้งของแฟนๆ ที่จะได้เห็นมุมใหม่ๆ ของติ๊ก เจษฎาภรณ์

ติ๊ก: คือไม่ได้หมายความว่าเพราะผมมีรายการ เจ้าป่าเข้าเมือง ผมเลยออกจากป่า แต่มันเกิดขึ้นเพราะการที่เรามีแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่นในเรื่องของโซเชียลมีเดียต่างๆ ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมี แล้วก็ใช้ให้มันเกิดประโยชน์ ดังนั้น เจ้าป่าเข้าเมืองเป็นงานอดิเรกเล่นๆ ลองทำเล่นๆ แต่ตอนนี้กึ่งเล่นกึ่งจริง ผมลองดูว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง ทำแล้วสนุกไหม ทำแล้วผลออกมาดีหรือเปล่า มันไปได้สวยไหม ซึ่งผลตอบรับก็ออกมาดีนะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพอผมมีรายการ เจ้าป่าเข้าเมือง ผมก็เลยไม่ทำรายการ เนวิเกเตอร์ นั่นคนละเรื่องกัน 

 

สำหรับ เจ้าป่าเข้าเมือง ในทุกๆ ตอนนะครับ มันเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับผม มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่เคยทำ ทั้งๆ ที่คนทั่วไปเขาทำกันเป็นเรื่องปกติ เขาไปเดินเล่นตรงนี้อยู่แล้ว เขากินสิ่งนี้กันอยู่แล้ว ไอ้ติ๊กมึงจะตื่นเต้นทำไม (หัวเราะ) แต่คือผมตื่นเต้นจริงๆ เพราะผมไม่ค่อยได้สัมผัสมันเหมือนกับที่คนอื่นสัมผัส 

 

ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ ถ้าเราเจออะไรใหม่ๆ ไม่ไปที่ใหม่ๆ หรือได้เจอคนที่เราไม่เคยมีโอกาสได้เจอ ผมมองว่ามันเป็นแง่มุมดีๆ ของผม แล้วไม่ว่าเราจะไปเจออะไรต่างๆ เรามีจุดยืนนะครับ มันไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อย่างไรเราก็ยังเป็น ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี คนเดิมที่เคยอยู่ในป่าที่เป็นเนวิเกเตอร์ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาเดินทางน้อยลง เขาไม่ได้ทำรายการแล้ว แต่ว่าหัวใจเขายังเป็นแบบเดิม หัวใจเขาคือเนวิเกเตอร์ ต่อให้วันเวลาจะผ่านไปขนาดไหน ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะอยู่ในหัวใจของผม

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์ 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X