เวลาพูดถึงการล่องเรือสำราญ หลายคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นทริปการเดินทางที่เหมาะกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่มากกว่า ตัวผู้เขียนก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากนึกภาพไม่ออกว่าการต้องใช้เวลาอยู่บนเรือซึ่งเป็นสถานที่ปิดเป็นเวลานานๆ จะสนุกเหมือนการเดินเที่ยวชมเมืองได้อย่างไร และเราจะไม่เบื่อใช่ไหมถ้าต้องเจอหน้าเพื่อนร่วมทริปกลุ่มเดิมแทบทุกวัน ซึ่งความคิดเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังมีโอกาสได้ลงเรือสำราญครั้งแรกในชีวิต แถมเรือลำนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นเรือลำใหญ่จาก Royal Caribean International ที่ตั้งใจออกแบบน้องใหม่อย่าง Spectrum of the Seas ให้เป็นเรือใหญ่ที่สุด ไฮเทคที่สุด ทันสมัยที่สุด และอัจฉริยะที่สุดในเอเชีย
Spectrum of the Seas ลำนี้ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
แถมเส้นทางการเดินเรือของ Spectrum of the Seas ก็ดีงาม เพราะยึดหัวหาดเมืองท่ายอดนิยมของประเทศญี่ปุ่นเอาไว้เกือบหมด โดยมีจุดปล่อยเรืออยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทันสมัย มีคาเฟ่และบาร์ฮิปๆ เต็มไปหมด (คุณสามารถเผื่อเวลาเที่ยวต่อในเซี่ยงไฮ้ได้อีกด้วย) ส่วนปลายทางของเรือลำนี้จะมุ่งหน้าไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยมีหมุดหมายสำคัญอยู่ที่เมืองท่าอย่างฟุกุโอกะ โอกินาว่า หรือนางาซากิ ทั้งนี้เส้นทางเดินเรือของแต่ละทริปจะไม่เหมือนกัน ต้องคอยเช็กว่าทริปไหนมีไปลงที่ใดบ้าง แต่โดยทั่วไปหากเราออกจากเซี่ยงไฮ้ในวันพุธยามเย็น เราจะไปถึงฟุกุโอกะในช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ ซึ่งถ้าใครอยากลงจากเรือเพื่อไปเที่ยวชมเมืองก็สามารถทำได้ แต่ต้องกลับมาขึ้นเรือให้ทันตามเวลาที่กำหนด ใครไม่อยากลงเรือก็พักผ่อนอยู่บนเรือที่จอดเทียบท่าอยู่ได้ตามอัธยาศัย เมื่อพ้นวันเรือก็จะมุ่งหน้าไปยังเมืองถัดไปหรือแล่นกลับไปยังเซี่ยงไฮ้ ด้วยเหตุนี้การล่องเรือสำราญในฝั่งยุโรปบางครั้งจึงมีโอกาสได้เที่ยวเป็น 10 ประเทศในทริปเดียว แต่ทริปนี้ผู้เขียนไม่มีโอกาสได้ลงจากเรือเพื่อสำรวจประเทศข้างเคียง จึงได้แต่เก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเรือมาฝากกันว่าตลอดระยะเวลา 4 คืน 5 วันที่อยู่บนเรือนั้นมีอะไรให้เราทำบ้าง
เรือลำใหญ่ที่สุดในเอเชีย
อย่างที่บอกว่าเรือลำนี้ไม่ธรรมดา แค่ขนาดก็กินขาดแล้ว เพราะเป็นเรือสำราญใหญ่ที่สุดในเอเชีย ประกอบที่ประเทศเยอรมนี ภายในมีห้องพักทั้งหมด 2,137 ห้อง มีลิฟต์โดยสาร 17 ตัว ยาวทั้งหมด 347 เมตร สามารถจุผู้โดยสารได้ทั้งหมด 5,622 คน (รวมลูกเรือ) ซึ่งจำนวนคนที่มากมายขนาดนี้ หลายคนอาจหวั่นใจว่าเวลาเช็กอินจะแออัดหรือเบียดเสียดขนาดไหน จากประสบการณ์ที่เจอต้องบอกว่าระบบจัดการของเรือดีมาก แต่ขั้นตอนการเช็กอินอาจยุ่งยากเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการเช็กอินตามโรงแรม เพราะเราต้องเตรียมเอกสาร เช่น ตั๋วที่ปรินต์มาจากเว็บและพาสปอร์ตให้พร้อมคล้ายกับการเช็กอินที่สนามบิน เนื่องจากทริปนี้เราต้องเดินทางออกน่านน้ำของจีนแล้วกลับเข้ามาที่จีนใหม่ ดังนั้นจึงต้องขอวีซ่าเข้าประเทศสองเที่ยว
จากนั้นเมื่อผ่านการฝากกระเป๋าและตรวจสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้พาสปอร์ตเก๋ๆ ที่ออกโดย Spectrum of the Seas รวมถึงการ์ดประจำตัวไว้สำหรับเข้าห้องพักและจ่ายแทนเงินสดบนเรือ (ก่อนขึ้นเรือต้องลงทะเบียนออนไลน์เพื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวให้เรียบร้อย รวมถึงเลือกว่าหากมีการใช้จ่ายเงินเกิดขึ้นจะจ่ายเป็นเงินสดหรือตัดผ่านบัตรเครดิต) เบ็ดเสร็จใช้เวลาเช็กอินทั้งหมดไม่เกิน 30 นาทีเราก็ขึ้นเรือเป็นที่เรียบร้อย
ห้อง Balcony ที่เข้าพัก
ห้องพักของเราเป็นห้องที่มีระเบียง สามารถเปิดออกไปนอนรับลมได้ ส่วนพื้นที่ภายในห้องกว้างขวาง แทบไม่รู้สึกว่าอยู่บนเรือ หากไม่นับว่าวิวด้านนอกเป็นมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตาก็คิดว่าน่าจะอยู่ในโรงแรมที่ไหนสักแห่ง ถามว่ามีอาการโคลงเคลงหรือเมาเรือบ้างไหม ต้องบอกว่าน้อยมาก และจะเป็นเฉพาะเวลาอยู่นิ่งๆ เท่านั้น
ห้องใหญ่ขึ้นมาหน่อย มีชั้นลอยด้วย
ใหญ่ขนาดนี้มีอะไรให้ทำบ้าง
Sky Pad
ใครที่ติดภาพว่าเรือสำราญจะมีเพียงที่อาบแดดและสระว่ายน้ำ ขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะชั้นบนสุดของเรือลำนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนสนุกลอยน้ำกลางมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นต่างๆ เริ่มจาก Sky Pad ที่ไม่ใช่แค่ลานแทรมโพลีน แต่ยังใช้เทคโนโลยี Virtual Reality มาข้องเกี่ยว เมื่อผู้เล่นต้องสวมใส่แว่น VR ที่ทำให้คุณเห็นภาพราวกับว่ากำลังผจญภัยอยู่ในเกม มีให้เลือกถึง 3 เกมด้วยกัน ได้แก่ Jump Rally, Sugar Leap และ Bass Bouncer หรือถ้าใครอยากตัวเปียกปอน ลองมาฝึกทักษะการเล่นเซิร์ฟของคุณได้ที่ The FlowRider หรือดิ่งพสุธาจำลองไปกับ Ripcord by iFLY
Ripcord by iFLY
The FlowRider
หรือจะขึ้นกระเช้าชมวิว North Star ที่สูงจากพื้นน้ำกว่า 92 เมตร เรียกได้ว่าสูงกว่าหอสักการะฟ้าในกรุงปักกิ่งเสียอีก จากบนนั้นเราจะมองเห็นวิวมหาสมุทรได้กว้าง 360 องศา
North Star
นอกจากนั้นยังมีโซน SeaPlex ที่มีกิจกรรมสนุกๆ ในร่มให้ทำอีกเพียบ เช่น รถบั๊ม Bumper Cars, Battle for Planet Z เกมยิงเลเซอร์ที่เล่นได้ทั้งครอบครัว ปิงปอง ฟันดาบ ยิงธนู และโซนเกมอาเคดที่เราสามารถขลุกตัวอยู่บริเวณนั้นได้ทั้งวัน เพราะทั้งหมดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จะเล่นเท่าไรก็ได้ ยกเว้นเกมตู้ที่ต้องเสียเงิน
Bumper Cars
Expedition Two70
นอกจากนั้นบนเรือลำนี้ยังมีสระว่ายน้ำทั้งหมด 4 สระ แบ่งเป็นสระในร่มชมวิวพระอาทิตย์ตกและสระกลางแจ้ง รวมถึงสวนน้ำเอาใจเด็กๆ เช่นเดียวกับลู่วิ่งกลางแจ้งบริเวณกราบเรือที่เราสามารถวิ่งวนๆ เก็บระยะรอบละ 500 เมตรได้ด้วย หรือห้องฟิตเนสที่อุปกรณ์ดีกว่าโรงแรมบางแห่งเสียอีก
สวนน้ำของเด็กๆ
เล่นน้ำชมวิวพระอาทิตย์ตก
มีลู่วิ่งที่แบ่งเลนคนวิ่งกับคนเดิน
หน้าผาจำลองขนาดย่อมๆ
นอกจากกิจกรรมแอ็กทีฟแล้ว สายที่ขออยู่ชิลๆ สบายๆ ก็มีกิจกรรมให้ทำเช่นกัน ไม่ว่าจะสปาระดับห้าดาว โชว์ต่างๆ ที่เวียนเปลี่ยนไปทุกวัน หลักๆ มี 2 โชว์ ได้แก่ The Silk Road ว่าด้วยเรื่องเส้นทางสายไหม และ Showgirl! Past. Present. Future เอาใจคนชอบเพลงป๊อป ห้องสมุด คาสิโนลอยน้ำอย่าง Casino Royal รวมถึงร้านรวงช้อปปิ้งต่างๆ ที่มาเปิดขายกันอย่างคึกคัก
พบกับร้านอาหารและคาเฟ่บนเรือทั้งหมด 17 แห่ง
บุฟเฟต์ที่ WindJammer Marketplace
มาถึงเรื่องสำคัญอย่างอาหารการกินกันบ้าง ต้องบอกก่อนว่าชีวิตบนเรือค่อนข้างอยู่ดีกินดี หลับสบาย เพราะเราแทบไม่ต้องวุ่นวายกับการหาอาหารเลย เนื่องจากราคาอาหารจะรวมอยู่ในแพ็กเกจห้องพักแล้ว ดังนั้นหากคุณไม่คิดมากก็สามารถกินอาหารทั้ง 3 มื้อได้ตามห้องอาหารที่อยู่ในแพ็กเกจ ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเสิร์ฟอาหารนานาชาติ ที่เด่นๆ ก็จะมีซีฟู้ดต่างๆ เช่น ล็อบสเตอร์ ปูอลาสก้า กุ้งตัวโตๆ สเต๊กเนื้อ แกะย่าง อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารอินเดีย เบเกอรี ผักและผลไม้สด มีทั้งแบบที่เป็นบุฟเฟต์ที่ห้องอาหาร WindJammer Marketplace หรือคอร์สเมนูที่ Main Dining Room ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักบนเรือแห่งนี้ ใหญ่โตขนาดจุได้ 1,844 ที่นั่ง มีทั้งหมด 3 ชั้น เสิร์ฟอาหารจีนและตะวันตก แล้วแต่ว่ามื้อไหนคุณอยากกินที่ห้องอาหารอะไร เพราะแต่ละห้องก็จะมีบรรยากาศที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารสำหรับก๋วยเตี๋ยว เทปปันยากิ พิซซ่า และฮอตพอตไว้บริการอีกด้วย
Main Dining Room
แบบนี้มีไม่อั้น
แต่หากระหว่างวันเกิดหิวขึ้นมา บนเรือก็มีคาเฟ่ให้บริการอาหารว่างตลอด 24 ชั่วโมงที่ La Patisserie แต่หากช่วงกลางวันสามารถตรงดิ่งไปได้ที่ Leaf and Bean บริการชาจีนและกาแฟ และ Cafe Two70 มีสลัด แซนด์วิช และอาหารประเภท Grab & Go ต่างๆ
เมนูนี้จาก Jamie’s Italian
ซาชิมิ Izumi Japanese Cuisine
นอกจากนั้นทางเรือยังได้เชิญห้องอาหารดังๆ ระดับโลกมาเปิดสาขากันบนเรืออีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Jamie’s Italian, ร้านอาหารญี่ปุ่น Izumi Japanese Cuisine จากอเมริกา, ร้านอาหารจีนอย่าง Sichuan Red ส่วนบาร์มีให้เลือก 4 แห่ง ตั้งแต่ไวน์บาร์ Vintages ไปถึงบาร์สไตล์ไอริชผับที่มีวงดนตรีมาเล่นสด แต่ที่เป็นไฮไลต์ ได้แก่ Bionic Bar ซึ่งเป็นบาร์ที่ไม่มีบาร์เทนเดอร์คอยชงเหล้า แต่หุ่นยนต์จะทำหน้าที่นั้นเอง เพียงกดแท็บเล็ตเลือกส่วนผสมต่างๆ ที่อยากดื่ม หรือจะเลือกเมนูเครื่องดื่มที่มีอยู่แล้วก็ได้ จากนั้นกดส่งออร์เดอร์ เท่านี้หุ่นยนต์ก็จะจัดแจงใส่น้ำแข็ง รินเหล้า เติมโทนิก ใส่การ์นิช ก่อนเชกและส่งให้คุณถึงมือ บาร์นี้ใครได้มาเยือนก็ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ
Bionic Bar
เที่ยวหลายประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น
หลังจากทริปนี้จบลง เราพยายามหาข้อดีและข้อเสียของการล่องเรือสำราญจนพบว่าการล่องเรือสำราญช่วยประหยัดเวลาเดินทางของเราได้จริงในกรณีที่เราอยากเที่ยวหลายประเทศในทริปเดียว แต่ไม่อยากเสียเวลาต่อเครื่องบินหรือรถไฟที่ล้วนกินเวลาหลายชั่วโมงทั้งตอนรอและระหว่างเดินทาง แถมยังต้องจัดกระเป๋าใหม่เพื่อย้ายที่พักบ่อยๆ อีก เพราะถ้าเราเดินทางด้วยเรือ ตื่นมาก็ถึงที่หมายแล้ว เที่ยวเช้ายันเย็นแล้วค่อยกลับมาขึ้นเรืออีกครั้ง ช่วยลดเวลาและประหยัดพลังไปได้เยอะทีเดียว
แต่ถึงกระนั้นหากเราเลือกที่จะลงเรือเพื่อเที่ยวเมืองแล้วก็ต้องรักษาเวลากันด้วย เพราะหากเที่ยวเพลินจนกลับมาขึ้นเรือไม่ทันคงเป็นเรื่องแน่ๆ อีกทั้งเมืองที่แวะไปลงก็มีแต่เมืองที่ติดทะเล คนที่อยากเที่ยวแต่เมืองใหญ่ๆ อาจต้องทำใจ แต่โดยรวมแล้วการล่องเรือสำราญก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเบื่อเลยสักนิด อาจเพราะบนเรือมีอะไรให้ทำมากมาย ของกินก็แน่นหนา มีตัวเลือกหลากหลายทั้งไทย จีน ฝรั่ง ผู้คนก็เอ็นจอยกันดี ดังนั้นใครที่คิดว่าการล่องเรือสำราญเป็นกิจกรรมที่ควรเก็บไว้ทำตอนอายุมากๆ เห็นทีต้องเปลี่ยนความคิดนั้นใหม่ เพราะไม่ว่าวัยไหนก็สนุกกับการเดินทางด้วยเรือได้เช่นเดียวกัน
ภาพ: ภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล, Spectrum of the Seas
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ห้องใหญ่สุดบนเรือ ได้แก่ Ultimate Family Suite ที่สามารถเข้าพักได้ 11 คน แบ่งเป็น 2 ชั้น มีห้องนั่งเล่น ห้องทำกิจกรรม ที่เลือกได้ว่าอยากคาราโอเกะ ดูหนัง หรือเล่นเกม และยังมีสไลเดอร์ในห้องอีกด้วย
- ทริป 4 คืนจากท่าเรือเซี่ยงไฮ้ไปยังฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นที่ 1,652 เหรียญสหรัฐ สำหรับ 2 ท่าน ส่วนแพ็กเกจและเส้นทางเดินเรืออื่นๆ สามารถสอบถามได้ที่ Travel Elements โทร. 0 2634 8080 อีเมล [email protected]