ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้เดินทางมาถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2018/19 โดยนัดสุดท้ายจะลงแข่งขันกันในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคมนี้ เวลา 21.00 น. พร้อมกันหมดทุกคู่ แต่สำหรับสถานการณ์ลุ้นแชมป์นั้นมีเพียง 2 ทีมที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดมาตลอดทั้งฤดูกาล โดยทีมในอันดับที่ 1 แชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กุมความได้เปรียบอยู่เพียงแค่ 1 แต้มเหนือลิเวอร์พูลในอันดับที่ 2
วันนี้ก่อนที่เสียงนกหวีดแรกของเกมสุดท้ายในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้จะดังขึ้น THE STANDARD ได้จัดอันดับทีมลุ้นแชมป์ที่ฉิวเฉียดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลลีก
อันดับที่ 5 พรีเมียร์ลีกปี 1994/95 (แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส-แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ในยุคสมัยที่มีทุนมหาศาลของ แจ็ก วอล์กเกอร์ มหาเศรษฐีที่เป็นแฟนบอลแบล็กเบิร์น โรเวอร์สมาตั้งแต่เด็ก สามารถเบียดเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1994/95 ไปเพียง 1 คะแนน ซึ่งนับเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของโรเวอร์สเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1914
โดยสถานการณ์ก่อนนัดสุดท้าย แบล็กเบิร์นในตำแหน่งหัวตารางมีคะแนนนำห่างอยู่ 2 คะแนน แต่ต้องไปพบกับลิเวอร์พูลในนัดสุดท้าย ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บุกไปเยือนเวสต์แฮม
ผลปรากฏว่าแบล็กเบิร์นภายใต้การคุมทีมของ เคนนี ดัลกลิช บุกไปพ่ายให้กับลิเวอร์พูล เปิดทางให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กุมชะตากรรมสู่เส้นทางแชมป์ด้วยตนเองได้ และจะเป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกัน
แต่แม้ว่าเกมนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะเล่นได้ดีกว่า แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเสมอกับเวสต์แฮมไป 1-1 ส่งให้แบล็กเบิร์นกลายเป็นแชมป์ลีกในปีนั้น
อันดับที่ 4 ลาลีกา ปี 2006/07 (เรอัล มาดริด-บาร์เซโลนา)
ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของฤดูกาล 2006/07 ดูเหมือนว่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างบาร์เซโลนาและเซบียา ขณะที่ เรอัล มาดริด ที่ออกสตาร์ทด้วยผลเสมอ 0-0 กับบียาร์เรอัล บวกกับผลงานที่ไม่คงเส้นคงวา ทำให้พวกเขาดูเหมือนจะกลายเป็นทีมลุ้นอันดับ 3-4 มากกว่าลุ้นแชมป์
แต่ในช่วงท้ายฤดูกาล ราชันชุดขาวเก็บชัยชนะได้ 6 จาก 7 นัด กลายเป็นม้ามืดที่ตีตื้นขึ้นมา บวกกับบาร์เซโลนาพ่ายให้กับ เรอัล ซาราโกซา และบียาร์เรอัล ทำให้ทีมยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงเริ่มมีกำลังใจมากขึ้น
หลังจากนั้นมาดริดเก็บเพิ่มอีก 13 คะแนนจาก 15 คะแนน มากกว่าบาร์ซาที่ทำได้ 11 แต้มในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้พวกเขามีคะแนนเท่ากันที่ 76 คะแนน ผลต่างประตูได้เสียมาดริดเป็นรอง บาร์ซาอยู่เกือบ 20 ลูก แต่ด้วยกฎกติกาของลาลีกาที่ใช้ Head to Head ตัดสินก่อนผลต่างประตูได้เสีย ส่งผลให้มาดริด ซึ่งปีนั้นเอาชนะบาร์ซาในบ้าน 2-0 และเสมอในเกมที่บุกไปเยือนคัมป์นู 3-3 คว้าแชมป์ในปีนั้นไปครอง
อันดับที่ 3 พรีเมียร์ลีก 2011/12 (แมนเชสเตอร์ ซิตี้-แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
ในช่วงที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้กำลังกลายเป็นเพื่อนบ้านที่เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากที่กลุ่มทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรเมื่อปี 2008
ฤดูกาลนี้ ซิตี้ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต มันชินี กุนซือชาวอิตาลีถูกคาดหวังให้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการออกสตาร์ทกับผลงานชนะ 14 นัด แพ้ 1 ใน 17 นัดแรกของฤดูกาล บวกกับผลงานเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถึง 6-1 ถึงถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด
แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็สามารถไต่กลับขึ้นสู่ตำแหน่งหัวตารางได้ก่อนปีใหม่ ยาวจนถึงเดือนมีนาคม แต่ทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ทำคะแนนหล่นหายระหว่างทางก่อนเข้าสู่สัปดาห์สุดท้าย ด้วยการพ่ายให้กับวีแกน เสมอกับเอฟเวอร์ตัน และบุกไปพ่ายให้กับซิตี้ 1-0
ในเกมสุดท้าย ซิตี้ออกอาการสะดุดด้วยการถูกทีมหนีตกชั้นอย่างควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์สขึ้นนำก่อน 2-1 ทั้งที่มีแค่ปัจจัยเดียวที่พวกเขาต้องทำคือเก็บ 3 แต้มให้ได้ และจะคว้าแชมป์จากผลต่างประตูได้เสีย
ระหว่างนั้นเองแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เอาชนะซันเดอร์แลนด์ไป 1-0 และเตรียมฉลองแชมป์เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากสถานการณ์อีกสนามในช่วงนาทีที่ 90 ซิตี้ยังคงตามหลังอยู่ 2-1
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 5 นาทีภาพตัดไปที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันระหว่างรอฉลองชัยกับลูกทีม แต่แล้วสีหน้าของแฟนบอลปีศาจแดงที่เช็กผลบอลก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อ เอดิน เซโก ตีเสมอให้ซิตี้ในนาทีที่ 92
และสุดท้ายสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ก็เกิด เมื่อ เซอร์จิโอ อากูเอโร หลุดเข้าไปยิงประตูชัยพาทีมเอาชนะไป 3-2 ในนาทีที่ 94 และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้นไปครอง
เสียงที่ยังคงดังอยู่ในหัวของทั้งแฟนบอลซิตี้และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจากการตะโกนชื่ออากูเอโรของคนพากย์แล้ว คือประโยคสุดท้ายที่กล่าวว่า
“ผมสาบานเลยว่าคุณจะไม่มีวันได้เห็นอะไรแบบนี้อีกแล้ว”
อันดับที่ 2 ลาลีกา ปี 2013/14 (บาร์เซโลนา-แอตเลติโก มาดริด)
9 ฤดูกาลที่ผ่านมาของลาลีกา ถ้วยแชมป์ต่างก็ตกอยู่ในมือของเรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลนาในฐานะขาประจำ แต่ในปีนั้น แอตเลติโอ มาดริด ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ลูกทีมของ ดิเอโก ซิเมโอเน โชว์ฟอร์มเด่นอย่างต่อเนื่อง จนส่งพวกเขาขึ้นสู่หัวตารางในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็พลาดท่าแพ้ให้กับอัลเมเรีย ไป 2-0 ระหว่างนั้นเรอัล มาดริดกลับมาคืนฟอร์มทำสถิติไร้พ่าย 18 นัดต่อกัน บวกกับฟอร์มที่ดำดิ่งของบาร์เซโลนา
ก่อน 3 เกมสุดท้ายของฤดูกาล แอตเลติโกยังคงเป็นทีมหัวตาราง แต่พวกเขาก็เริ่มพลาดเอง ด้วยการแพ้ให้กับเลบานเต้ และเสมอกับมาลากา ส่วนบาร์เซโลนาก็เสมอ เกตาเฟและเอลเช่ ส่งผลให้แอตเลติโก มาดริดต้องการเพียงแค่ผลเสมอในเกมที่บุกไปเยือนถิ่นคัมป์นูในเกมสุดท้าย
และในเกมที่คัมป์นู ประตูแรกของ อเล็กซิส ซานเชซ ส่งบาร์เซโลนาขึ้นนำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 34 แต่ลูกโหม่งตีเสมอเป็น 1-1 ของ ดิเอโก โกดิน เป็นประตูที่พาพวกเขาสู่แชมป์ลาลีกาในปีนั้น
อันดับที่ 1 ลีกเดอซ์ ปี 2016/17 (สตารส์บูร์ก-อาเมียงส์-ทรัวส์-ล็องส์-แบรสต์-นีมส์)
เป็นปรากฏการณ์ที่แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นในลีกสูงสุดของประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นหนึ่งในสถานการณ์ลุ้นแชมป์ที่สามารถออกได้หลายหน้ามากที่สุดครั้งหนึ่งในลีกฟุตบอล
เมื่อช่วงท้ายของฟุตบอล ลีกเดอซ์ ลีก 2 ของประเทศฝรั่งเศสในปี 2016/17 ก่อนเกมนัดสุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น มีสโมสรทั้งหมด 6 ทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ลีก และลุ้นโควตาการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุด ด้วยการจบอันดับที่ 1 และ 2 ส่วนอันดับที่ 3 ต้องไปลุ้นเพลย์ออฟ ซึ่งแปลว่าหลังเกมนัดนี้จบลงจะมีทีมที่จบฤดูกาลแบบมือเปล่าถึง 4 ทีม
โดยตารางคะแนนก่อนเกม สตารส์บูร์กอยู่ในอันดับที่ 1 มี 64 คะแนน จาก 37 เกม ขณะที่ อาเมียงส์ และทรัวส์ ตามหลังอยู่เพียง 1 คะแนน ส่วน ล็องส์ และแบรสต์ มี 62 แต้ม และนีมส์ มี 61 คะแนน ซึ่งยังมีลุ้นจบอันดับที่ 2
และในการแข่งขันวันสุดท้ายอาจเรียกได้ว่าเป็นวันที่ตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลฝรั่งเศส เมื่อสตารส์บูร์กรักษาตำแหน่งทีมอันดับที่ 1 ด้วยการเอาชนะ บูร์ก-ออง-เบรส ไป 2-1 ขณะที่อาเมียงส์ที่ยิงประตูชัยในนาทีที่ 96 พาทีมขึ้นชั้นไปพร้อมกับทรัวส์
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: