Q: ลูกน้องเพิ่งเลิกกับแฟนค่ะ กลายเป็นว่าลูกน้องไม่เป็นอันทำงาน ความรับผิดชอบหายไป งานการไม่เดินสักที สงสารก็สงสารนะคะ แต่งานก็ควรต้องทำ เห็นลูกน้องเหลวไหลแล้วโมโหน่ะคะ โตๆ กันแล้วน่าจะแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ เราควรจัดการกับลูกน้องอย่างไรดีคะ
A: เข้าใจได้ว่าทำไมถึงโมโห แน่นอนว่าคุณกำลังสวมหมวกการเป็นหัวหน้าที่ต้องรับผิดชอบงานให้เดินหน้าได้ไม่มีสะดุด พอเห็นงานไม่เดิน เห็นลูกน้องไม่มีกะจิตกะใจทำงานจนทำงานบกพร่องและกระทบต่องานที่คุณดูแล มันก็กระเทือนต่อความรู้สึกของคุณได้ ผมถึงบอกว่าเข้าใจได้ว่าทำไมคุณถึงโมโห
กลับกันครับ ลองสวมหมวกเป็นคนที่อกหักดูบ้าง บางทีเราก็อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงเป๋แบบนั้น
มันคล้ายๆ กับเวลาเราฟัง Club Friday ของพี่อ้อยกับพี่ฉอดนั่นแหละครับ เวลาเรามองชีวิตของคนอื่นที่เขามีปัญหา เรามักจะเห็นวิธีการแก้ปัญหาง่ายมาก และบางทีเราก็จะรู้สึกขัดใจว่าทำไมเรื่องง่ายๆ แบบนี้ถึงแก้ปัญหากันไม่ได้ (วะ) หรือทำไมปล่อยให้ตัวเองมีปัญหาแบบนั้น เป็นฉันนะ ฉันจะนั่น ฉันจะนี่ บลาบลาบลา…กันไป
ปัญหาของคนอื่นง่ายเสมอครับ แต่พอถึงคราวตัวเอง เรามักจะมองไม่เห็นทางออกง่ายๆ เคยได้ยินคำว่า ‘เก่งแต่เรื่องคนอื่น’ ไหมครับ ฮ่าๆ
การที่เรารู้สึกว่าปัญหาของคนอื่นง่ายเสมอจนเรามองเห็นทางออกก็เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนถือปัญหานั้น ผมเชื่อนะครับว่าคนเรามีความสามารถในการจัดการปัญหาได้เมื่อเรามีสติ ที่เวลาเจอปัญหาแล้วคิดไม่ออกก็เพราะเรายังไม่มีสติ หรือบางทีเราก็อาจจะอยู่ใกล้ปัญหานั้นเกินไปจนมองไม่เห็นปัญหาแบบรอบด้าน เวลาเราเจอปัญหา เรามักจะรู้สึกว่ามันไม่มีทางออกแล้ว ก็เพราะตอนนี้เราหันหน้าไปหากำแพงนั่นแหละครับ เผลอๆ บางทีจะเอาหัวโขกกำแพงไปด้วย แต่ถ้าเราไม่เครียด เราไม่ได้เป็นคนที่ถือปัญหานั้นไว้ มันง่ายมากครับที่จะเห็นทางออกว่ามีอยู่มุมนั้นมุมนี้เต็มไปหมด
สิ่งที่ผมจะบอกก็คือเวลาเห็นคนเผชิญปัญหาแล้วแก้ไขปัญหาไม่ได้ หรือทำอะไรไม่ได้เรื่อง อย่าเพิ่งไปตัดสินเขาว่าทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ล่ะ ทำไมเธอเหลวไหลจัง ทำไมเรื่องแค่นี้เธอแก้ไขไม่ได้ เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเขา ได้รับการหล่อหลอมมาแบบเขา ผ่านอะไรมาแบบเขา เพราะฉะนั้นวิธีการรับมือ วิธีการตัดสินใจในชีวิตของคนอื่นมันต่างจากเราแน่นอน เราเอาตัวเองเป็นไม้บรรทัดไม่ได้หรอกครับว่าทำไมเธอไม่เหมือนฉัน นอกจากมันไม่แฟร์กับคนอื่นแล้ว การที่เราเอาตัวเองเป็นมาตรฐานในการตัดสินชีวิตคนอื่นมันโคตรจะเหนื่อยเลยครับ ลองสวมหมวกเป็นเขาบ้าง อาจจะทำให้เราเข้าใจและเห็นใจเขามากขึ้นก็ได้ครับ
เวลาที่เราเจอคนมีปัญหาตรงหน้า มันมีทางเลือกคือเราจะทำให้เขารู้สึกผิดที่มีปัญหา หรือเราจะช่วยให้เขาแก้ปัญหานั้นได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเป็นคนที่มีปัญหา เราอยากให้คนอื่นทำให้เรารู้สึกผิดที่มีปัญหา หรือเราอยากให้คนอื่นช่วยให้เราแก้ปัญหานั้นได้
เวลาที่คนเราเผชิญความผิดหวัง ไม่มีอะไรที่มนุษย์ต้องการไปมากกว่าการได้รับกำลังใจ และการรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพัง แต่มีคนที่อยู่เคียงข้างไม่ว่าตัวเราจะเป็นคนทำผิดหรือถูกก็ตาม
เคยไหมครับเวลาที่เจอใครพูดถึงหัวหน้าที่ประทับใจแล้วพูดว่า เขารักหัวหน้าคนนี้เพราะไม่ได้เป็นเพียงหัวหน้า แต่เป็นพี่ เป็นพ่อ เป็นเพื่อน เป็นครอบครัวของเขาด้วย ความรู้สึกแบบนี้มันมาจากการ ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องนี่แหละครับ หัวหน้าที่ดีไม่ได้ให้แค่การเติบโตในหน้าที่การงาน แต่ให้การเติบโตในแง่ความเป็นมนุษย์ด้วย
เวลาเห็นลูกน้องอกหัก อย่าลืมครับว่าเมื่อตอนตัวเราประสบการณ์ยังน้อย เราก็รับมือกับความเจ็บปวดได้ไม่มาก หรือสถานการณ์ที่ลูกน้องเจออยู่นี้มันเป็นโจทย์ยากสำหรับเขาในการรับมือ เราก็ต้องให้เวลาเขาในการแก้ปัญหา แน่นอนว่าระหว่างทางที่มนุษย์คนหนึ่งจะเติบโตมันก็ต้องมีความลุ่มๆ ดอนๆ กันบ้าง ถ้าวันนี้เขาอกหักมาแล้วจะถูลู่ถูกัง เขาจะบกพร่องไปบ้าง ให้คิดว่าเขากำลังคลำหาทางออกอยู่ ตอนนี้อาจจะอยู่ในช่วงหน้ามืดตามัว คลำหาทางออกไปก็ชนนั่นชนนี่ ระเนระนาดบ้าง เจ็บตัวบ้าง แต่เราต้องให้เวลาเขา
การแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานก็เหมือนกันครับ ผมคิดว่าเวลาที่ชีวิตมันแย่ก็คือแย่ คนไม่สบายใจก็คือคนไม่สบายใจ แน่นอนว่ามันมีผลกระทบต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงกันหมดจากเรื่องส่วนตัวมาสู่เรื่องงาน แม้จะเป็นคนละเรื่อง แต่คนที่ใช้ชีวิตบนเรื่องนั้นคือคนเดียวกัน มันก็เหมือนเป็นเรื่องเดียวกันนั่นแหละครับ แต่คิดในแง่ดีนะครับ ถ้าเราทำให้เขาสบายใจขึ้นมาได้ แปลว่าจะเรื่องรักหรือเรื่องงานมันก็น่าจะดีขึ้นได้ หรือตอนนี้เรื่องความรักของเขาแย่ แต่ถ้าเราทำให้เรื่องงานดีขึ้นได้ บางทีก็อาจจะทำให้เขาเห็นนะว่ามันไม่ได้แย่ไปทุกเรื่องนี่หว่า คนเรากว่าจะคิดได้บางทีก็ต้องใช้เวลานะครับ แต่พอเขาคิดได้ปุ๊บ ผมเชื่อนะว่ามันคุ้มค่า
แทนที่จะเรียกเขามาดุ ลองเปลี่ยนคำพูดเป็น “พี่รู้ว่าน้องไม่สบายใจอยู่ และเรื่องที่น้องเจอมันอาจยากที่จะรับมือได้ แต่พี่เชื่อว่าน้องจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ พี่มาคุยในวันนี้ก็เพราะเป็นห่วงและอยากให้กำลังใจ และพี่อยากถามว่ามีอะไรที่พี่พอจะช่วยน้องได้บ้างไหมในช่วงที่น้องเผชิญปัญหาอยู่นี้ เพราะถ้าอะไรที่พี่พอจะช่วยให้น้องของพี่รู้สึกดีขึ้นและกลับมาทำงานได้อย่างมีความสุข ทำงานได้ดี พี่ก็ยินดี” แล้วให้น้องพูดออกมา การปล่อยให้เขาพูด ให้เขาระบาย จะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น ตอนนี้เราอาจรู้แค่ว่าน้องอกหัก แต่เรายังไม่รู้อีกหลายเรื่องเลยว่าน้องมีปัญหาอื่นที่ประดังประเดเข้ามาอยู่หรือเปล่า ที่สำคัญคือการที่น้องได้เล่าจะช่วยให้เราประเมินได้ว่าสภาพจิตใจตอนนี้ของน้องเป็นอย่างไร น้องยังหน้ามืดตามัวอยู่หรือเริ่มลืมตาขึ้นมาได้บ้าง เราจะได้ช่วยเขาได้ถูก ใช้ความเป็นห่วงตัวเขานำก่อนเลยครับ (และต้องเป็นความเป็นห่วงตัวเขาจริงๆ นะครับ ไม่ใช่การเสแสร้ง) ขณะเดียวกันก็เป็นการสื่อให้เขาเห็นว่าเราเห็นนะว่างานมีปัญหา แต่เราพร้อมที่จะช่วยเหลือ
ถ้าเราบอกเขาว่าทำไมไม่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน มันมีนัยบอกถึงการมองลูกน้องแค่เรื่องงาน “แกจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่แกมีความหมายกับฉันแค่ในเรื่องงาน ฉันไม่ต้องการรับรู้เรื่องส่วนตัว และตอนนี้เรื่องส่วนตัวของแกทำให้งานพังไปด้วย” ผมคิดว่ามันยิ่งทำให้เราดูแย่ในสายตาลูกน้อง เพราะมันบอกถึงการที่เราไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของลูกน้องเลย เขาเจ็บมาขนาดนั้น เราต้องทำให้เขารู้ว่าเรารู้นะว่าเขาเจ็บ เราอยากช่วยให้เขาหาย และเราเชื่อว่าเขาจะหายได้
ถ้าประเมินแล้วว่าน้องร่อแร่มาก น้องไม่มีกะจิตกะใจทำงานเลย ผมว่าให้น้องลาไปสงบสติอารมณ์ก่อนสักวันสองวัน ดูทรงแล้วเอาเครื่องยนต์ที่ไม่พร้อมจะทำงานมาใช้งานก็คงทำงานออกมาแบบพังๆ แต่กลับมาแล้วมาลุยงานต่อ รับผิดชอบงานให้เรียบร้อยด้วยล่ะ หรืออีกวิธีที่จะช่วยน้องได้ก็คือทำให้น้องมีโฟกัสอื่นนอกจากเรื่องความรัก อย่างที่บอกครับว่าตอนนี้กราฟความรักของน้องกำลังตก เราน่าจะมีส่วนช่วยให้น้องเรียนรู้ว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีแต่ด้านความรักอย่างเดียว บางทีการทำหน้าที่การงานให้ประสบความสำเร็จก็ทำให้เห็นว่าเราไม่ได้แย่ไปทุกเรื่อง เพียงแค่เราลองโฟกัสอย่างอื่นบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่า โอเค ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าโยนโปรเจกต์ให้ลูกน้องทำเสียเลย อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของน้องด้วย แต่เราใช้วิธีการ ‘ชม’ ลูกน้องเมื่อลูกน้อง ‘มีแวว’ ที่จะเริ่มกลับมาดีขึ้น มันก็เป็นการให้กำลังใจน้องอีกทางหนึ่งให้รู้สึกว่ามันมีเรื่องดีๆ อยู่จากตัวเขาเอง
และเมื่อน้องผ่านบทเรียนนี้ไปได้แล้ว เราค่อยคุยกับน้องครับว่า เห็นไหม น้องผ่านไปได้ พี่ภูมิใจ แต่อยากฝากบทเรียนไว้ว่า…
ผมคิดว่าทำแบบนี้ก็เป็นการสอนลูกน้องไปในตัวว่าการเป็นหัวหน้าที่ดีนั้นไม่ใช่แค่ใส่ใจว่าผลงานลูกน้องจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ใส่ใจด้วยว่าจิตใจของลูกน้องจะเป็นอย่างไร วันหนึ่งที่เขาเป็นหัวหน้า หรือแม้กระทั่งวันนี้ที่เขาเป็นลูกน้องอยู่ เวลาเขาเจอคนที่มีปัญหา เขาจะได้เป็นฝ่ายช่วยเหลือคนอื่นมากกว่าเป็นฝ่ายทำให้คนอื่นรู้สึกแย่กว่าเดิม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เขาเอาไปใช้ได้ ไม่ใช่แค่กับเรื่องงาน แต่ใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้ทั้งชีวิตเลยล่ะครับ
เหมือนอย่างที่ผมบอกไว้ครับว่าหัวหน้าไม่ได้ให้แค่การเติบโตในหน้าที่การงาน แต่เราให้การเติบโตในความเป็นมนุษย์ไปด้วย
หรือกระซิบบอกน้องก็ได้ครับว่า น้องเอ๋ย อกหักเรื่องเล็ก แต่ถ้าตกงานสิเรื่องใหญ่
อันนั้นน่ะยิ่งกว่าตาสว่างเลยล่ะ ฮ่าๆ
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์