ความสนใจของ ‘มวลชน’ ที่ติดตามข่าวดาราคงไม่มีอะไรจะ ‘แซ่บ’ เท่ากับข่าว หย่าร้าง เตียงหัก รักสามเส้า เมียหลวง เมียน้อย ล่าสุดกรณีของ แอฟ สงกรานต์ และ แมท ภีรนีย์
ความเดิมจากตอนที่แล้วที่เรายังจำกันได้คือ ข่าวแยกบ้านกันอยู่ระหว่างแอฟกับสงกรานต์ แต่ยังไม่ลงทะเบียนหย่าร้างตามกฎหมาย และเช่นเดียวกัน การตามข่าวดาราก็เหมือนกับการติดตามซีรีส์ของเทพนิยาย อันเริ่มจากความรักของผู้ชายที่หล่อเหลา ฐานะดี กับหญิงสาวแสนดี แสนสวย
ภาพงานแต่งงานของดารา เซเลบริตี้ คือภาพงานแต่งงานของเจ้าหญิงเจ้าชายในฝันของเหล่ามนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเรา อีกทั้งเป็นภาพต้นแบบว่า หากเราแต่งงานก็จะพยายามทำอะไรให้ดูคล้ายความเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายในฝันอันจุติมาจากเทพนิยายที่เคยอ่านสมัยยังเด็ก
ชีวิตคู่ของคนทั้งคู่ก็ดำเนินตามพล็อตเทพนิยายด้วยการมีลูกที่น่ารัก เติมเต็มภาพ ครอบครัวสวยงามในอุดมคติ พ่อหล่อ แม่สวย ลูกก็บิวตี้ฟูล
บุคลิกของแอฟคือมงกุฎยอดเพชรของภาพผู้หญิงในอุดมคติ มีความงามอันหาที่ติไม่ได้ กิริยาวาจาเรียบร้อย งดงาม การศึกษาดี รสนิยมดี มารยาทดี ไม่เคยแต่งตัวโป๊ ไม่เคยลงรองพื้นผิดเบอร์ ไม่เคยพูดจาหยาบคาย (เห็นว่าคำหยาบที่สุดที่เคยพูดคือคำว่า เพ้อเจ้อ) เป็นแม่ที่ดี เป็นภรรยาที่เพียบพร้อม ดังนั้น ในการรับรู้ของ ‘มวลชน’ ที่ติดตามข่าวดารา นิยายเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า สงกรานต์นั้นคือผู้ชายผู้โชคดีที่ได้นางแก้วไปครอง
เมื่อได้นางแก้วไปครองแล้ว สิ่งที่สังคมไทยไปคาดหวังกับ ‘ผัว’ ของนางแก้วคือ ควรทะนุถนอม รักษา เห็นคุณค่า ยกย่อง คำน้อยก็ไม่ควรให้นางแก้วที่ดีขนาดนี้ต้องบอบช้ำ มัวหมอง
แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น…
จะเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าแอฟกลับไปอยู่บ้านตัวเอง และในความดีงาม เพียบพร้อม กุลสตรี ย่อมไม่ปริปากตำหนิใคร พูดจานิ่งๆ เรียบๆ ชี้แจงทุกอย่าง as a matter of fact ไม่มีดราม่า ไม่มีโวยวาย ไม่ได้เรียกร้องขอความสงสารเห็นใจจากใคร
กองเชียร์ทางบ้านก็ได้แต่ส่งกำลังใจ เทความเกลียดชังไปให้ฝ่ายชายเล็กๆ ว่า ไม่มีปัญญารักษานางแก้วเอาไว้ได้ แต่นางแก้วก็คือนางแก้ว ไม่มีใครพรากความสง่างามไปจากเธอได้
เธอคือต้นแบบของเรา เราอยากเป็นแบบเธอ เราอยากสวย อยากสง่า อยากนิ่งสงบ อยากเข้มแข็งเด็ดขาดให้ได้อย่างเธอ
บ้างก็ภาวนาให้สงกรานต์คิดได้ว่าสูญเสียอะไรไป แล้วอัญเชิญนางแก้วกลับไปเป็นที่เทิดทูนดังเดิม
แต่แล้วดราม่าเรื่องนี้ก็เข้มข้นขึ้น เมื่อตัวละครที่ต้องกลายเป็นนางอิจฉาปรากฏตัวขึ้น และมันทำให้กองเชียร์นางแก้วช้ำใจยิ่งนัก เพราะนอกจากจะไม่มีซีน ‘ผู้ชายกลับใจ ขอคืนดี’ ดันมีการประกาศว่ากำลังคบหาดูใจกับผู้หญิงอีกคนที่ชื่อ แมท
แล้วผู้หญิงที่ชื่อแมทก็ช่างจะสมศักดิ์ศรี ‘ตัวอิจฉา’ เพราะเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับ กุลสตรีในอุดมคติ นั่นคือมีความสวยแบบร้ายๆ สวยแบบแรงๆ พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา เสียงดัง ไม่ระย่อต่อคำถามนักข่าว ไม่ตอบคำถามนักข่าวตามขนบ ไม่พยายามจะเป็น ‘คนดี’ ซึ่งก็ถูกทำให้คนออกมาด่าว่าไร้ยางอายอะไรไปนู่น
แมทไม่ออกมาร้องไห้ขอความเห็นใจ แถมยังตอกกลับทุกคนว่า ไม่ต้องห่วง จะเจ็บทีหลัง จะถูกหลอก หรืออะไร รอให้มันเจ็บจริง น้ำตาเช็ดหัวเข่าจริงค่อยว่ากัน ส่วนที่ใครๆ เตือนมาว่าผู้ชายนิสัยไม่ดี ก็ไม่สน เพราะเขาดีกับแมท จบนะ
น่าสนใจไปกว่านั้นคือประเด็นเรื่องมือที่สาม
เพราะด้านหนึ่งคนก็บอกว่า อ้าว ผัวเมียเขาเลิกกันแล้ว ทีนี้ใครจะไปคบใครใหม่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไปด่าเขาทำไม
ส่วนที่ยืนกรานจะด่าก็บอกว่า ถ้าคบหลังจากหย่าร้างก็ไม่ว่าหรอก แต่นี่เป็นมือที่สาม ไปทำให้ผัวเมียเขาต้องบาดหมาง ถ้าไม่มีเธอคนนี้ผัวเมียเขาก็ไม่เลิกกัน หน้าด้าน รู้ว่าผู้ชายเขามีลูกมีเมียแล้วยังจะไปยุ่งกับเขาอีก
จะว่าฉันเป็นคนชั่วก็ได้ ตามชื่อคอลัมน์ว่า Bitch ฉันกลับเห็นว่า มือที่สามคือ Default Mode และไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร
บอกตามตรงว่าถ้าไม่มีคนใหม่ บางทีเราก็ไม่กล้าเลิกกับคนเก่าหรอก นึกออกไหม ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ คนจำนวนมาก ‘ทน’ อยู่กับคนที่คบกันอยู่ทั้งๆ ที่ไม่มีความสุข เพราะรู้สึกดีกว่าอยู่คนเดียว บ้างก็อยู่ไปเพราะความเคยชิน จนกระทั่งไปพบเจอกับ ‘บุคคลที่สาม’ หรือ ‘มือที่สาม’
ถ้ามือที่สามที่เราเจอมีคุณภาพที่ดีกว่าคนที่เราอยู่ด้วยในปัจจุบันในทุกทาง อยู่ด้วยแล้วมีความสุขกว่า อยู่ด้วยแล้วสบายใจกว่า อยู่ด้วยแล้วสบายกายกว่า อยู่ด้วยมัน ‘ใช่’ มากกว่า
สิ่งที่จะเกิดขึ้นมี 2 ทางคือ
- มีความกล้าหาญพอที่จะไปบอกเลิกกับแฟนว่า ขอโทษนะ ฉันเจอคนที่ฉันอยากอยู่กับเขามากกว่าเธอ
- เป็นคนขี้ขลาดแล้วคบซ้อนไปเรื่อยๆ จนแฟนตัวเองจับได้ แล้วเป็นฝ่ายขอเลิกไปเอง
การเข้ามาของมือที่สามยังอาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกทางหนึ่งได้เหมือนกันนั่นคือ พบว่าไม่ได้อยากใช้ชีวิตกับมือที่สาม ไม่ได้อยากคบต่อ แต่การที่มีมือที่สามเข้ามาทำให้เราตระหนักว่า ชีวิตคู่ของเรากับแฟนยังไงก็ไม่รอด ดังนั้นหลังจากลังเลมานาน ก็ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าเลิกกันดีกว่า
มือที่สามทำให้เราเลิกกับแฟน แต่เราก็ไม่คบกับมือที่สามต่อ และอาจไปใช้ชีวิตโสดเล่นๆ เย็นๆ ใจจนกว่าจะเจอคนที่รู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตด้วยจริงๆ
หรืออีกทางหนึ่ง มือที่สามอาจทำให้เราตระหนักว่า ผัวเราหรือเมียเราที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ที่เราคิดว่าน่าเบื่อมากนั้นไม่จริงเลย พอไปลองคบกับมือที่สามถึงรู้ว่าผัวเราโคตรดี เมียเราโคตรดี ทีนี้พอรู้แล้วเลยกลับมาอยู่กับคู่ของตัวเองแบบตาสว่าง เห็นคุณค่า แล้วตระหนักว่า เออ คนนี้แหละ คือคนที่ ‘ใช่’ สำหรับเราแล้ว แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเอาเองว่า พอจะกลับไปหาแฟนหลังจากเลิกกับมือที่สาม แฟนเรานั้นเขาก็เป็นอื่นไปแล้ว หรือเขากลับเป็นฝ่ายหมดรักเราไปเสียเองหรือเปล่า
ทีนี้ถ้ามีคนบอกว่ามือที่สามเข้ามาไม่ได้หรอกถ้าชีวิตคู่ดีงามพรั่งพร้อม ซึ่งก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ หลายๆ คู่อยู่ด้วยกันมาดีๆ ไม่เคยมีปัญหาอะไร ไม่มีใครทำอะไรผิด ทุกอย่างปกติดีทุกอย่าง จนกระทั่งมีมือที่สามโผล่เข้ามาแล้ว เรื่องเหล่านี้มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล หากมันเกิดแรงดึงดูดอันเกินจะต้านทาน
ซึ่งหลายคนก็จะบอกว่า ของแบบนี้ควรหักห้ามใจ แต่ ‘คน’ นะ ไม่ใช่ ‘สัตว์’ จะได้สมสู่กันไปตามสัญชาตญาณ ควรจะคำนึงคำมั่นสัญญา ความรับผิดชอบ ศีลธรรม บลา บลา บลา
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับฉัน ฉันคิดว่าการที่เราแต่งงานกับใครสักคนมันไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นหนี้ชีวิตคนนั้นไปจนตายจนไม่อาจมีชีวิตของตนเองได้เลย การแต่งงานไม่ใช่การจดจับจองเป็นเจ้าของชีวิตของกันและกันโดยไร้เงื่อนไข
หากฉันพบรักใหม่ในขณะที่มีผัวอยู่ และพบว่ารักใหม่นั้นเกินจะต้านทาน ฉันจะต้องบอกเลิกผัวให้เป็นกิจจะลักษณะ ทำอย่างถูกต้อง ถ้ามีลูกก็ต้องคุยกันเรื่องความรับผิดชอบที่มีต่อลูก ถ้ามีทรัพย์สมบัติก็ต้องจัดการแบ่งสรรปันส่วนอย่างยุติธรรม และนั่นทำให้ฉันคิดว่า การแต่งงานของคนสองคนควรจะเริ่มต้นจากการนั่งคุยกันให้เข้าใจว่า ชีวิตคู่ของเรานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นนิรันดร
คู่แต่งงานทั้งหลายควรจะ realistic ให้มาก แล้วทำการตกลงกันให้ดีว่า หากแต่งงานกันไปจะกี่ปีก็ตาม แล้วใครคนใดคนหนึ่งเกิดไปพบรักใหม่ให้เข้าใจว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะทำใจได้ยาก แต่ก็ควรจะต้องทำใจให้ได้ ไม่ต่างจากการซื้อหุ้นผิดตัวแล้วขาดทุนย่อยยับ การลงทุนมีความเสี่ยงฉันใด การแต่งงานก็ต้องแบกรับความเสี่ยงว่า ผัวเรา เมียเรา ไม่ใช่ของของเรา แล้วเราไม่ควรจะบังคับใครให้จำใจอยู่กับเราเพียงเพราะ ‘เราแต่งงานกันแล้ว’ เพราะการแต่งงานไม่ใช่การจองจำ
คนจำนวนมากบอกว่าทนอยู่เพราะลูก บางคนทนอยู่เพราะความรับผิดชอบ บางคนทนอยู่เพื่อให้ได้ชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี แล้วก็อยู่กันไปแบบเก็บกด จำนวนมากก็ไม่รู้ตัวว่าเก็บกด แต่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีอยู่ แต่มักมีความไร้สุขบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ติดตัวอยู่เสมอ
แต่สำหรับฉันมันจะดีกว่าไหม ที่เราจะกล้าเลิกกับใครสักคนเพียงเพราะหมดรัก ไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เขาทำความผิดความชั่วใดๆ
และหากเราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับใคร เราพึงตระหนักอยู่เสมอว่า โดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำความผิดอะไรเลย คู่ของเราก็อาจไปพบรักใหม่และอยากไปใช้ชีวิตกับคนอื่นได้เสมอ
สิ่งที่อารยชนทั้งหลายพึงทำน่าจะมีแค่ การชี้แจง บอกกล่าวต่อกันอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นอาจนำมาซึ่งการออกแบบความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างกัน เช่น บางคนอาจจะยังต้องทำธุรกิจร่วมกัน บางคนอาจต้องสัมพันธ์กันในฐานะพ่อแม่ของลูก บางคนอาจมีกิจกรรมบางอย่างที่ทำด้วยกันแล้วมีความสุข การมีแฟนใหม่ไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งการยุติกิจกรรมนั้นๆ ที่เราทำแล้วมีความสุขด้วยกัน
สำหรับฉัน ถ้าเราไม่คิดว่าการแต่งงานหรือชีวิตคู่เท่ากับการจองจำใครสักคนไว้ในชีวิตเราตราบชั่วนิจนิรันดร์ ปรากฏการณ์ ‘มือที่สาม’ ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร
คนที่เป็นมือที่สามก็ไม่ใช่ปีศาจชาติชั่ว เพราะในหลายกรณีเราไม่มีวันรู้หรอกว่า เราไม่ได้อยากอยู่กับคนคนนี้ตราบเท่าที่เรายังไม่เจอคนใหม่ (ยิ่งเขียนยิ่งฟังดูชั่วมาก แต่ใครจะกล้าปฏิเสธว่ามันไม่จริง)
หลายคนอาจจะบอกว่า ‘มือที่สาม’ มันชั่ว มันตั้งใจเข้ามาแย่ง มันตั้งใจเข้ามาทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่จะทำอย่างไรได้ หากเขาเข้ามาแล้วดัน ‘แย่ง’ ได้จริง (จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ) ถ้าเขาแย่งได้จริงก็แปลว่าคนของเรามันมีความอยากไปกับเขาด้วยนี่นา
ถ้าคนของเรารักหนักแน่นมั่นคง ต่อให้มือที่สามเอาช้างมาลากก็คงไม่ไป Myth ของชีวิตคู่และการแต่งงานที่ร้ายแรงที่สุดคือ Myth ที่บอกว่า เมื่อปลงใจแต่งงานกับใครแล้ว หรือใช้ชีวิตคู่กับใครแล้วต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ชีวิตคู่นั้น ความรักนั้นอยู่ไปชั่วนิรันดร หรือในคำสาบานว่าจนกว่าความตายจะมาพรากเราไป
เมื่อเราไปยึดมั่นถือมั่นกับ Myth อันนี้ เราจึงจะต้องโกรธมาก แค้นมาก เมื่อรักเป็นอื่นหรือเมื่อคู่เราเป็นอื่น โดยลืมคิดไปว่า การ ‘เป็นอื่น’ นั้นอาจจะดีก็ได้ เช่น เราอาจมีผัวใหม่ดีกว่าเดิม หรือเราอาจได้อยู่คนเดียว มีความสุขกว่าเดิม ผัวเราอาจได้อยู่กับเมียใหม่ที่เข้ากันได้ดีกว่าสมัยมีเราเป็นเมีย หรือต่อให้พัง เละตุ้มเป๊ะด้วยกันทุกฝ่าย แต่ ความรัก การแต่งงาน และชีวิตคู่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเราอยู่ดี แต่เป็นเพียง ‘ส่วนหนึ่ง’ ของชีวิตเราเท่านั้น เพราะในชีวิตของคนคนหนึ่งก็มีทั้งเรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว เรื่องสวน เรื่องสัตว์เลี้ยง เรื่องเงิน เรื่องการท่องเที่ยว เดินทาง เรื่องงานอดิเรกต่างๆ
ชีวิตคู่พังไม่ได้แปลว่าอื่นๆ ในชีวิตต้องพังตาม และเรายังสามารถมีคู่ใหม่ได้เสมอถ้าอยากมี แต่ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาจะมี
ความตลกที่สุดของการยึดมั่นถือมั่นใน Myth อันนี้ก็เมื่ออ่านข่าวดาราแล้วเอา Myth ของตัวไปด่า ไปตัดสิน ไปสวมวิญญาณผู้พิพากษาทางศีลธรรม ไปโกรธไปแค้นแทนพวกเขาทั้งปวง ทั้งๆ ที่ในชีวิตของเขาเหล่านั้นอาจจะพบกับความสุขความเจริญด้วยกันทุกฝ่ายก็เป็นได้ หรือหากจะไม่สุขมันก็ไม่ใช่ปัญหาของเราอยู่ดี
แต่ก็นั่นแหละ ข่าวดาราก็เหมือนละคร นับประสาอะไรกับกรณีแอฟกับสงกรานต์ ทุกวันนี้ยังมีคนลุ้นให้ แบรด พิตต์ กับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน มาคืนดีกันจนสามารถเขียน Fake News ออกมาเป็นวรรคเป็นเวร
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เราก็ยังรักเทพนิยายอยู่ร่ำไป และรอคอย Happy Ending เพื่อเยียวยาบาดแผลในชีวิตจริงของตน
ภาพประกอบ: Karin Foxx.
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า