×

mints: ก้าวสำคัญที่ทำให้ ‘อัด’ และ ‘ตน’ เรียนรู้ว่ารสชาติชีวิตไม่ได้หวานเหมือนชื่อวง

08.11.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • อัดมีความฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก แต่สร้างกำแพงขึ้นมากั้นเพราะคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานนี้ จนเมื่อโตขึ้น กำแพงนั้นค่อยๆ ถูกทำลายลง และเขากลับมาเอาจริงเอาจังกับความฝันวัยเด็กอีกครั้ง ส่วนตนไม่เคยคิดมองเห็นภาพตัวเองเป็นอย่างอื่นนอกจากนักดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้พวกเขากำลังสานฝันนั้นร่วมกันในฐานะผู้ก่อตั้งวง mints
  • ตนเคยมีทัศนคติไม่ดีในการเหยียดแนวเพลงที่ตัวเองไม่ชอบ แต่เมื่อเจออัด รวมทั้งการทำงานกับศิลปินหลายคน ทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กับดนตรีแนวอื่นมากขึ้น และล่าสุดเขาเพิ่งไปดูคอนเสิร์ตของวง EXO มา!
  • อัดคิดว่าตัวเองเป็นเพียงเศษดิน ถ้าเทียบกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเป็นดาวที่เปล่งประกายในวงการบันเทิง ในช่วงแรกความคิดนี้อาจทำให้ท้อแท้และตั้งคำถาม แต่วันนี้เขาเลิกสงสัย กลับมาตั้งใจพิสูจน์และคว้าทุกโอกาสให้ได้ด้วยตัวของเขาเอง

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในวันที่วงการบันเทิงกำลังตื่นเต้นจากทัพนักแสดงหน้าใหม่ที่เริ่มแจ้งเกิดจากซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น ซีซัน 1 หนึ่งในนั้นมีชื่อ อัด-อวัช รัตนปิณฑะ และ ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล รวมอยู่ด้วย

 

หลังจากนั้นนักแสดงแต่ละคนก็มีเส้นทางที่แตกต่างกันไป หลายคนได้ขึ้นมาเป็นนักแสดงระดับแถวหน้าของประเทศ ถึงแม้อัดและตนอาจจะไม่ได้อยู่ในหมวดนั้น แต่พวกเขาก็ยังทุ่มเทให้กับการแสดงอย่างไม่ลดละ พร้อมๆ กับอีกหนึ่งความฝันบนเส้นทางสายดนตรีที่พวกเขาสร้างขึ้นมาร่วมกัน ในฐานะผู้ก่อตั้งวง mints

 

พวกเขาพยายามสร้างเส้นทางของตัวเอง จนกลายเป็น 3 ซิงเกิลแรกที่พวกเขาสร้างสรรค์งานเพลง ทำมิวสิกวิดีโอ โปรโมต จากหยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ และเงินทุนของตัวเองทั้งหมด ก่อนที่ค่าย What The Duck จะกางแขนต้อนรับพวกเขาเข้ามาเป็นสมาชิกน้องใหม่ของค่าย

 

นอกจากความน่าสนใจจากบทเพลงที่ปล่อยออกมา THE STANDARD POP คิดว่า ‘ทัศนคติ’ ในความตั้งใจ กล้าได้กล้าลองของทั้งคู่คืออีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราเอาใจช่วยให้พวกเขาเติบโตได้อย่างมั่นคงไม่แพ้ศิลปินคนอื่นๆ

 

“ในยุคที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด เราอาจจะเป็นแค่เศษก้อนดินในจักรวาล”

 

คำนิยามสถานะของตัวเองจากปากของอัด ทำให้เราพอมองเห็นภาพว่าเส้นทางในวงการบันเทิงนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ

 

และที่สำคัญรสชาติชีวิตที่พวกเขาได้เรียนรู้จากการเดินทางบนเส้นทางสายดนตรีในวัย 20 ต้นๆ นั้นเต็มไปด้วยรสฝาดและขม มากกว่าชื่อวงที่แสนหวานอยู่หลายเท่าตัว

 

 

นอกจากการเป็นนักแสดง ทั้งสองคนเริ่มมองเห็นความฝันว่าตัวเองอยากเป็นนักดนตรีตั้งแต่เมื่อไร

อัด: เป็นความฝันตั้งแต่เด็กของผมอยู่แล้ว เคยไปประกวดออดิชัน AF ด้วย แต่ได้ร้องแค่ 10 วินาที (หัวเราะ) จนเริ่มตั้งกำแพงขึ้นมาว่าเราคงทำได้แค่ชอบร้องเพลงอย่างเดียว สิ่งนี้คงไม่เหมาะกับเรา แล้วก็ปิดความฝันนั้นเอาไว้ตลอด จนวันหนึ่งได้ขึ้นไปร้องเพลงในคอนเสิร์ต GTH Star Theque แล้วได้ไปเรียนร้องเพลงกับพี่โบ๊ท (นักร้องนำวงสมเกียรติ) ก็ค่อยๆ กะเทาะกำแพงนั้นแล้วรื้อเอาความฝันนั้นมาทำต่ออีกที

 

ตน: นอกจากนักดนตรี ผมไม่เคยคิดภาพตัวเองเป็นอย่างอื่นเลยครับ เริ่มจากตอนประถมอยากเป็นนักเปียโนคลาสสิก บ้าคลั่งเพลงคลาสสิกมาก ไม่ฟังแนวอื่นเลย เถียงกับเพื่อนประจำว่าแนวเพลงที่เราชอบต้องดีที่สุด

 

วันหนึ่งไปถ่ายหนังเรื่อง Suck Seed ห่วยขั้นเทพ แล้วทีมงานบอกว่า พี่ป๊อด Moderndog กับ พี่ตูน Bodyslam จะมาที่กอง ทุกคนตื่นเต้นมาก แต่ผมไม่รู้จักพวกเขาเลย จนคิดว่าต้องลองไปฟัง แล้วกลายเป็นการเปิดโลกดนตรีแนวนี้ พอขึ้นมัธยมก็อยากเป็นร็อกเกอร์ขึ้นมา พอโตขึ้นมาก็เลือกเรียนคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จนกลายมาเป็นวง mints ในตอนนี้

 

จากคนที่มีความฝันอยากเป็นนักร้องนักดนตรีมาตั้งแต่แรก เป็นไปได้ไหมว่าพวกคุณรู้ว่าความฝันนี้อาจจะยากเกินไป และการเป็นนักแสดงอาจช่วยเปิดโอกาสบางอย่างให้ทั้งสองคนได้

ตน: พูดตรงๆ เลยคือ ผมคิดว่าการแสดงเป็นงานอดิเรกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าไม่เคยเห็นภาพตัวเองเป็นอย่างอื่นนอกจากนักดนตรี แต่งานด้านการแสดงก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้ผมได้ค้นพบสิ่งที่ผมชอบรองจากดนตรี ก็อยากทำพาร์ตนั้นให้ดีด้วย แต่ถ้าให้เลือกแค่หนึ่งอย่าง ผมยังเลือกดนตรีอยู่นะ

 

อัด: แต่ผมเลือกไม่ได้นะ เพราะการร้องเพลงกับการแสดงเป็นสิ่งที่ผมรักมากจริงๆ รู้สึกว่าถ้าเลือกไม่ได้ก็ทำทั้งสองอย่างให้มันดีไปเลย แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นนักแสดงเพื่อเปิดให้เป็นนักร้องได้ง่ายขึ้น เพราะตอนเป็นนักแสดง ผมก็เข้ามาเพราะรักในการแสดง มาทำวง mints ก็เพราะผมรักในการร้องเพลงแค่นั้นเลย

 

พอโตขึ้นมา ตนยังมาเถียงกับอัดเรื่องเพลงไหนดีที่สุดเหมือนที่เถียงกับเพื่อนตอนเด็กๆ บ้างไหม

ตน: ยอมรับว่าก่อนหน้านี้พื้นฐานผมเป็นคนเหยียดแนวเพลงที่ผมไม่ฟังนะครับ ยิ่งเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยดนตรี ก็จะมีอีโก้ เพราะทุกคนสอบเข้ามาด้วยความสามารถตัวเองหมด ตอนเรียนเทอมแรกก็ได้เกรด 3.9 ทุกอย่างมันมาเพิ่มอีโก้ในเรื่องการฟังเพลงจนสูงมาก กลายเป็นว่าดนตรีที่ดีจะมีแต่แนวดนตรีที่เราชอบและเล่นเท่านั้น จนพอเริ่มมาทำงานเพลง ได้เจอพี่อัด ได้ทำเพลงกับพี่ยิ้ม (ประวิทย์ ฮันสเตน มือกลองวงสมเกียรติ ที่มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับวง mints) ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องการฟังเพลงกันจนผมค่อยๆ ปลดล็อกเรื่องการฟังเพลงมากขึ้น

 

เมื่อก่อนผมเคยเหยียดวงเคป๊อปเลยนะ แต่ตอนนี้ล่าสุดเพิ่งไปดูคอนเสิร์ตของ EXO มา (หัวเราะ) แล้วรู้สึกเลยว่าพวกเขาเก่งมาก ทุกคน ทุกแนวดนตรีมีข้อดีในแบบของตัวเอง เราแค่ต้องเปิดใจยอมรับ ไม่ใช่คิดว่าสิ่งที่เราชอบคือสิ่งที่ดีที่สุด

 

อัด: ผมทะเลาะกับมันหลายรอบมากเลยนะ ผมเป็นพวกชอบฟังเพลงทั้งหมด ฟังได้เรื่อยๆ ถ้าฟังแล้วไม่ถูกจริตก็ไปฟังอย่างอื่น

 

ตน: เออ แต่ผมถ้าเจอเพลงที่ไม่ชอบก็จะฟังจนจบ แล้วก็จะวิจารณ์กับตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนคนโรคจิตครับ (หัวเราะ)

 

อัด: ผมจะรู้สึกว่า มึงจะไปเหยียดเขาทำไม ดนตรีมันไม่มีหรอกคำว่าดีหรือไม่ดี มันมีแค่ชอบหรือไม่ชอบแค่นั้นเอง

 

ตน: พี่อัดพูดมาประมาณว่า ตอนนี้ผมกำลังปิดกั้นทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ด้วยความคิดที่ว่าสิ่งที่เราชอบคือสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งมันจริงมาก แล้วรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เราจะโลกแคบและไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้เลย แล้วมันก็ดีขึ้นจริงๆ นะครับ สิ่งที่ดีและง่ายที่สุดคือ มันทำให้ผมมีสุขภาพจิตดีขึ้น แค่รู้สึกหงุดหงิดเวลาฟังเพลงน้อยลงนี่ก็เป็นพัฒนาการที่สำคัญมากแล้ว พอไม่มัวแต่เอาความคิดไปวิจารณ์ เราฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง เราจะเห็นวัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้ในการทำเพลงได้มากขึ้นเยอะเลย

 

 

จากคนที่เคยเหยียดคนอื่นมาก่อน พอมาทำเพลงของตัวเองจริงๆ เคยโดนเหยียดกลับมาบ้างหรือยัง

ตน: มีเพื่อนคนหนึ่งเขาถามว่า ผมมีเล่นที่ไหนบ้าง ผมก็บอกไปว่าที่ Play Yard ที่โน่น ที่นี่ เขาก็บอกว่า เออดีว่ะ มีร้านให้เล่น แล้วมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เขามีวงเหมือนกัน ก็พูดขึ้นมาดังๆ ให้ผมได้ยินว่า เอ้ย ไม่เป็นไรมึง พวกเราเริ่มต้นจากศูนย์ แต่เดี๋ยวสักวันก็ต้องได้ไปเหมือนกัน เหมือนพยายามจะบอกว่าวง mints มีต้นทุนที่ดีกว่า ไม่ได้เริ่มมาจากศูนย์ ซึ่งมันเจ็บจี๊ดเหมือนกันนะ การเป็นนักแสดงอาจช่วยได้ในตอนแรก แต่ถ้าพี่อัดร้องห่วย ผมเล่นไม่ดี ที่ไหนเขาจะจ้าง เขาไม่สนใจหรอกว่าเราเป็นใครมาก่อน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราก็เริ่มมาจากศูนย์ไม่ต่างกัน

 

อัด: ตอนนี้ที่คนมองเห็นเขาอาจจะยังลบภาพของการเป็นดาราหรือนักแสดงของเราออกไปไม่ได้ พอเรามีอีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นศิลปินวง mints เขาก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าเป็นแค่ดารามาร้องเพลง ตรงนี้สถานะนักแสดงอาจเป็นแต้มลบของพวกเราด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องทำให้เขาเห็นให้ได้ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด อาจจะเหนื่อยก็ไม่เป็นไร แต่สักวันเขาต้องมองเห็นกันบ้างแหละ

 

เคยคิดถึงว่าจะต้องทุบหม้อข้าวตัวเอง ไม่รับงานแสดง เพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วยการเป็นศิลปินวง mints อย่างเดียวเลยไหม

อัด: ผมไม่เคยครับ เพราะอย่างที่บอกว่าผมรักทั้งสองอย่าง และตั้งใจจะทำให้ได้ดีทั้งสองอย่างเหมือนกัน

 

ตน: แต่ผมเคยครับ หลังจบ Hormones วัยว้าวุ่น ซีซัน 3 ที่ผมจะหายไปช่วงหนึ่งเลย ตอนนั้นเป็นช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ผมเคยไปปรึกษากับครูบิว (อรพรรณ อาจสมรรถ) ที่สอนแอ็กติ้งว่าจะเลิกแสดงไปเลย เพราะผมอยากเป็นนักดนตรีจริงๆ ไม่อยากให้คนติดภาพการเป็นนักแสดง แต่ตอนหลังก็มาค้นพบเหมือนพี่อัดว่า มันสามารถทำควบคู่กันให้ดีทั้งสองอย่าง ถ้าเรารักมันจริงๆ

 

เพลง พร้อม ซิงเกิลแรกของวง mints ในฐานะศิลปินค่าย What The Duck

 

3 ซิงเกิลที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้ เราจะเห็นวง mints ทำเพลงกันเองแบบไม่มีค่ายมาตลอด ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในสังกัด What The Duck

อัด: ยอมรับว่าหลังปล่อยเพลงที่ 3 ออกมาเป็นช่วงที่พวกเราค่อนข้างเหนื่อยกับการลุยทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว เรียกว่าอ่อนล้าที่สุด แล้ว What The Duck ก็เข้ามาในจังหวะที่เรากำลังต้องการมือของใครสักคนพอดี ซึ่งวิธีการทำงานของที่นี่ก็เป็นแบบที่พวกเราทำกันอยู่แล้ว คือต้องทำเพลงเองเหมือนเดิม ทางค่ายไม่ได้มีกรอบมาว่าเราจะเป็นแบบไหน มันเลยกลายเป็นได้ทำงานแบบเดิม แต่มีคนที่เข้าใจและสนับสนุนพวกเราเพิ่มขึ้นมา

 

ก่อนหน้านี้เคยคิดเรื่องการเข้าค่ายกันไว้มากขนาดไหน

อัด: ตอนเริ่มทำแรกๆ เรารู้สึกว่าอยากลองทำทุกอย่างด้วยตัวเองก่อน อยากลิ้มรสชาติของการเริ่มต้นด้วยตัวเองทั้งหมด

 

ตน: แล้วเป็นไงล่ะ โคตรเหนื่อย (หัวเราะ) แล้ว mints แม่งเป็นพวกเล่นใหญ่ด้วยไงครับ โปรดักชันใหญ่โต ทำนู่นนี่เองหมด ขนาดมิวสิกวิดีโอพี่อัดยังกำกับเองเลยคิดดู

 

มิวสิกวิดีโอเพลง ยังไงดี / Should I ของวง mints

 

ทุนการทำเพลง มิวสิกวิดีโอ โปรโมตต่างๆ ก็ต้องออกกันเองทั้งหมด

ตน: นี่คือเรื่องสำคัญเลยครับ (หัวเราะ) เพราะมันคือการจ่ายออกไปแล้วไม่ค่อยได้อะไรกลับมา แถมทุกๆ โปรเจกต์งบมันจะบานจากที่ตั้งเอาไว้ตอนแรกตลอด

 

อัด: คุยกับตนมาตั้งแต่แรกว่ามันไม่มีเงินนะมึง มีอะไรก็ต้องช่วยกันนะ หารกันคนละครึ่ง แล้วควักกันมาเรื่อยๆ จนถึงเพลงที่ 3 เริ่มมาคุยกันอีก เฮ้ย มันชักจะยังไงแล้วนะ ช่วงนี้กูก็ไม่ค่อยมีงาน เอาไงต่อดี ถ้าทำกันอีกนี่เงินเก็บกูจะหมดแล้วนะ คือยังไงเราก็จะทำต่อแน่ๆ นะครับ แต่แค่อยู่ในช่วงกำลังมองหาทิศทางของวงต่อไป อาจจะต้องไปทำกันเองเล็กๆ เงียบๆ แล้วทาง What The Duck ก็ติดต่อมาพอดี

 

รู้สึกอย่างไรบ้างเวลาเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายๆ คน ที่น่าจะเริ่มเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แล้วก็เห็นธุรกิจประสบความสำเร็จ มีดอกผลให้เห็นชัดเจน แต่อัดกับตนเลือกมาลงทุนกับการทำเพลง ทำมิวสิกวิดีโอที่แทบไม่มีผลตอบแทนเป็นรูปธรรมชัดเจน

อัด: สำหรับผมคิดว่าคุ้มนะครับ ต้องขอบคุณน้องด้วยที่ยอมสละเงินมาลงทุนกันตรงนี้ เพราะคิดว่าผลที่ได้กลับมามันคือประสบการณ์ที่มากกว่าแค่การทำเพลง แต่หมายถึงทุกเรื่อง อย่างงานกำกับก็เป็นหนึ่งในความฝันเหมือนกัน แล้วผมก็ได้สานฝันนั้นกับการกำกับมิวสิกวิดีโอของตัวเอง และก็ได้รู้ว่าไอ้สิ่งที่เราฝันเอาไว้มันเป็นอย่างไรตั้งแต่ตอนนั้นถือว่าเป็นของขวัญที่เรามอบให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ ผลลัพธ์มันจะออกมาดีหรือไม่ดีก็คือประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ ซึ่งถ้าพวกเราเลือกเข้าค่ายกันตั้งแต่แรก แน่นอนว่าเราคงไม่ต้องเหนื่อยกันขนาดนี้ แต่ประสบการณ์ระหว่างทางทั้งหมดก็จะหายไปเหมือนกัน

 

ตน: คุ้มจริงๆ ครับ เพราะมันคือสิ่งที่ผมอยากทำมากๆ อย่างเดียวในชีวิต และผมได้เริ่มทำตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ ดีใจที่ได้เริ่มทำเร็วกว่าคนอื่น ผิดพลาดก่อนคนอื่น เสียเงิน เสียน้ำตาก่อนคนอื่น และได้รู้ว่าการทำงานจริงๆ มันเป็นอย่างไร ซึ่งมันแตกต่างกับสิ่งที่เคยเจอมามากๆ แค่การตั้งวงเล่นเพลงคัฟเวอร์คนอื่น กับการได้ทำเพลง ได้เล่นเพลงของตัวเองความรู้สึกมันก็ต่างกันมากแล้ว เหมือนลงทุนซื้อความเป็นมืออาชีพที่ทำให้ใกล้ความฝันของเราเข้าไปอีกขั้น

 

เสียน้ำตาตอนไหนกันบ้าง

อัด: บ่อยมากครับ (หัวเราะ) แต่ที่หนักๆ คือตอนทำมิวสิกวิดีโอครั้งแรกที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วรู้สึกว่าแบกความกดดันของวง ของเพื่อนนักแสดงที่เราไปเอาเขามาเล่น ของทีมงานที่ไปขอความช่วยเหลือ เพราะเราไม่ได้มีต้นทุนเยอะ

 

พอถึงเวลาออกกองจริงๆ มันเจอข้อผิดพลาดค่อนข้างเยอะ แล้วผมแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ไม่ดี ก็เสียใจที่ทำไม่ได้ พอเลิกกองก็ร้องไห้หนัก แต่น้ำตาในวันนั้นก็ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นอีกสเตปนะ มันเกิดขึ้นไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ยอมรับผลอันนั้น แล้วทำสิ่งที่เหลือออกมาให้กลายเป็นมิวสิกวิดีโอที่ดีที่สุดในข้อจำกัดที่มันมีอยู่ เรียนรู้ว่าถ้ามีโอกาสได้ทำอีกจะทำยังไงให้มันดีขึ้น ให้เราไม่ต้องมานั่งเสียใจและเสียน้ำตาแบบนี้อีก

 

ตน: ผมก็ร้องเหมือนกัน แต่เป็นตอนกลับบ้านมาแล้ว เพราะสงสารพี่อัด รู้สึกว่าเราอยากช่วยพี่เขาให้มากกว่านี้ ยิ่งรู้ว่านี่คืออีกหนึ่งความฝันของเขาก็ยิ่งอยากช่วยให้ดีมากขึ้นไปอีก แต่เราแทบทำอะไรไม่ได้เลย

 

กับอีกครั้งที่ร้องหนักๆ คือตอนปล่อยเพลงแรกของ mints ออกมา เป็นช่วงสับสนตัวเอง ทั้งการทำวง mints การสอบที่มหาวิทยาลัย การสอบเปียโนที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก พอความกดดันทุกอย่างรุมเข้ามา อายุเพิ่ง 18 วัยกำลังว้าวุ่นเลยครับ (หัวเราะ) มันก็สับสนไปหมด แล้วก็ร้องไห้หนักเลย

 

 

อัดกับตนเริ่มต้นการเป็นนักแสดงแก๊ง Hormones รุ่นแรก ที่มีคนที่เป็นดาวเด่นเต็มไปหมด แล้วได้แต่มองเพื่อนๆ ได้รับโอกาสและบทบาทที่ดีแซงหน้าเราไปเรื่อยๆ พอเป็นศิลปินก็เริ่มต้นด้วยทำเพลงเอง แล้วก็เห็นวงดนตรีเกิดขึ้นใหม่แล้วแซงเราไปอีก แถมพอเข้าค่ายก็ยังมาเจอศิลปินรุ่นใกล้กันกำลังประสบความสำเร็จอย่าง The Toys ปัจจัยเหล่านี้เคยทำให้กดดัน ท้อแท้ หรือตั้งคำถามกับเส้นทางที่เลือกเดินบ้างไหม

อัด: เรื่องการแสดง การเกิดมาในยุคที่มีดาวเยอะแยะไปหมดก็มีทำให้ท้อแท้เหมือนกันนะ ในช่วงที่ผมยังเป็นเด็ก มีความน้อยใจว่าทำไมเราถึงไม่ได้รับโอกาสนั้น เราทำได้ไม่ดีเท่าเขาเหรอ มันมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด จนวันหนึ่งถึงรู้สึกว่า เฮ้ย นี่เรากำลังรอโอกาสมากไปหรือเปล่า ทำไมระหว่างที่ยังไม่ได้รับโอกาสเราถึงไม่เอาเวลานั่งคิดไปพัฒนาตัวเอง ทำตัวเองให้แข็งแรง หรือถ้าคิดว่าเราพร้อมแล้วจริงๆ ก็เดินหน้าไปสร้างโอกาสให้ตัวเองสิ

 

ในยุคที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด เราอาจจะเป็นแค่เศษก้อนดินในจักรวาล ยิ่งรู้ว่าเรามีน้อยกว่าคนอื่นเท่าไร ก็ยิ่งต้องพยายามให้มากกว่านั้น เพื่อที่วันหนึ่งเศษก้อนดินอาจจะค่อยๆ มารวมกัน แล้วกลายเป็นดาวดวงเล็กๆ ที่ขึ้นไปส่องแสงใกล้ๆ กับพวกนั้นขึ้นมาก็ได้

 

ตน: ผมกดดันมากนะ ปกติก็เป็นคนที่อยู่ด้วยความกดดันมาตลอดอยู่แล้ว ไม่นานมานี้ผมเพิ่งถูกส่งไปเรียนเวิร์กช็อปของค่ายนาดาว ที่ต้องเรียนรวมกับนักแสดงรุ่นล่าสุดที่เข้ามา ความคิดอย่างแรกคือ เดี๋ยวจะต้องมีคนถามแน่ๆ ว่าทำไมเราถึงยังต้องมาเรียนตรงนี้อยู่ แล้วก็โดนจริงๆ (หัวเราะ) ตอนนั้นเจ็บมากเลย เลยพยายามคิดว่าเราต้องทำแบบฝึกหัดให้ดีที่สุด แสดงให้เห็นไปเลยว่าเราทำได้ กดดันตัวเองหนัก แล้วก็ทำทุกอย่างออกมาได้ไม่ดี เสียใจ โกรธตัวเอง ร้องไห้ …อีกแล้ว (หัวเราะ) พอเรียนจนไปปรึกษาคุณครู คุณครูบอกมาว่า ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองคือต้นหนที่ตัวใหญ่ ต้องประสบความสำเร็จในทุกๆ อย่าง ทั้งที่จริงๆ แล้วเราคือต้นหนอายุ 19 ที่ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง ที่จะมีผิดพลาดบ้าง ทำอะไรได้ไม่ดีบ้างเป็นเรื่องปกติ  

 

แล้วตอนนั้นเริ่มทำเพลงแล้ว ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับหลายคนมาก เทียบกับพี่ทอยด้วย (หัวเราะ) ชอบคิดว่าพี่เขาอายุมากกว่าผมนิดเดียว แต่ทำเพลงเอง โปรดิวซ์เอง แล้วผลงานออกมาดีมาก เราก็ต้องทำได้สิวะ แค่นั้นไม่พอ ที่พีกคือเอาตัวเองไปเทียบกับนักดนตรีฝรั่งอย่าง Rex Orange ที่อายุมากกว่าผมแค่ปีเดียว แต่ทำเพลงดี ได้ไปเวิลด์ทัวร์ แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่วะ

 

อัด: ผมถึงต้องตบกบาลมันอยู่บ่อยๆ ไงครับ (หัวเราะ)

 

ตน: จนวันที่คุณครูบอกถึงปลดล็อกแล้วบอกตัวเองได้ว่า มึงก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่อายุ 19 อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะรีบประสบความสำเร็จไปไหน ที่พี่ๆ เขาประสบความสำเร็จก็คือเวลาของเขา เขาพร้อมด้วยฝีมือ ด้วยโอกาสที่เหมาะสม ถ้าเรามีความสามารถมากพอ เดี๋ยววันนั้นก็จะเป็นของพวกเราเอง พอคิดได้แบบนี้แล้วสุขภาพจิตดีขึ้นเยอะเลย

 

อัด: ส่วนหนึ่งที่ผมไมได้รู้สึกกดดันเท่าน้อง เพราะผมมาจากคนที่ตัวเล็กอยู่ตลอด ไม่เคยได้รับความรู้สึกว่าเราเป็น Somebody และต่อสู้กับความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ทีละเปลาะมาตลอด จนถึงวันที่ปลดล็อกได้ว่า เราไม่ต้องมองคนอื่น ไม่ต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร แค่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ รู้ตัวเองซะ แล้วเดินไปต่อแค่นั้นเอง

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X