ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2560 มีคดีสังหารโหด นายวรยุทธ สังหลัง หรือ ผู้ใหญ่บัติ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลบ้านกลาง อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ พร้อมครอบครัวและญาติ รวม 8 ศพ ภายในบ้านพักนายวรยุทธ
ต่อมาตำรวจตามจับผู้ต้องหาได้ 8 คน ประกอบด้วย
- นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์สกุล หรือบังฟัต
- นายประจักษ์ บุญทอย
- นายคมสรรค์ เวียงนนท์
- นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ
- นายธวัฒชัย บุญคง
- นายอรุณ ทองคำ
- นายธนชัย จำนอง
- นางสาวชลิตา สังข์โชติ
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1-6 โดยไม่รอลงอาญา พร้อมชดใช้เงินแก่ญาติผู้เสียชีวิตรวม 8 คน จำนวน 7.5 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 7 จำคุก 19 เดือน จำเลยที่ 8 จำคุก 12 เดือน
ต่อมาครอบครัวผู้เสียชีวิตยื่นอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 7 และ 8 ร่วมรับผิดฐานร่วมกันฆ่าและร่วมชดใช้ค่าเสียหายด้วย
วันนี้ (7 พ.ย.) เวลา 10.00 น. ที่ศาลจังหวัดกระบี่ นายจรีย์ บุตรเติบ อายุ 59 ปี พ่อตาของนายวรยุทธ สังหลัง อดีตผู้ใหญ่บ้านเขางาม ที่ถูกฆ่าพร้อมครอบครัว-ญาติ รวม 8 ศพ และญาติพี่น้องครอบครัวผู้ตาย ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 หลังจากนายจรีย์และกลุ่มญาติ รวม 7 คน ซึ่งเป็นผู้ร้องที่ 2-8 ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ในส่วนคดีอาญา โดยครั้งแรกญาติได้ยื่นอุทธรณ์คดีส่วนอาญา แต่ชั้นรับคำอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า ผู้ร้องที่ 2-8 ไม่ได้เป็นโจทก์หรือโจทก์ร่วม จึงไม่มีอำนาจยื่นอุทธรณ์ในส่วนคดีอาญา ดังนั้นก็ไม่จำต้องพิเคราะห์คำอุทธรณ์ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจังหวัดกระบี่ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นจึงไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิตบังฟัต จำเลยที่ 1 กับลูกน้องอีก 5 คน คือจำเลยที่ 2-6 ฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น ส่วนจำเลยที่ 7 จำคุกทั้งสิ้น 1 ปี 9 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 8 ซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว จำคุกเป็นเวลา 12 เดือน
และให้บังฟัตและลูกน้องรวม 6 คน (จำเลยที่ 1-6) ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมที่เป็นคำขอส่วนแพ่งให้กับญาติผู้ตายและผู้บาดเจ็บรวม 8 คนด้วย ตั้งแต่จำนวน 420,000 บาท ถึง 2,402,500 บาท ซึ่งในส่วนของนายจรีย์ บุตรเติบ พ่อตาอดีตผู้ใหญ่บ้านนั้น ศาลให้ได้รับการชดใช้จำนวน 1,445,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องและวันละเมิด โดยศาลสั่งยกคำร้องขอในส่วนที่จะให้จำเลยที่ 7 ร่วมชดใช้ด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นเพิ่งมีคำพิพากษาดังกล่าวทั้งส่วนโทษคดีอาญาและคำขอทางแพ่งไปเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561
ขณะที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามฟ้องผู้ร้องที่ 2-8 เพียงแต่ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1-7 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคสองเท่านั้น เมื่อผู้ร้องที่ 2-8 ไม่ได้ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ผู้ร้องย่อมไม่อยู่ในฐานะเป็นคู่ความ ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์คดีในส่วนอาญาได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ในคดีส่วนอาญานั้นชอบแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงให้ยกคำร้องดังกล่าว โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการในส่วนคดีแพ่ง (การบังคับคดีให้ชดใช้เงิน) ต่อไป
โดย นายเกรียงศักดิ์ สารภี ทนายความจำเลยกล่าวว่า ผู้ร้องที่ 2-8 ได้ยื่นอุทธรณ์ทั้งในส่วนเนื้อหาคดีอาญาและค่าสินไหมทดแทน แต่เนื่องจากผู้ร้องดังกล่าวไม่ได้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ ที่ผ่านมาครั้งแรกศาลชั้นต้นจึงไม่รับอุทธรณ์ที่เป็นเนื้อหาของคดีอาญาส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เพราะเห็นว่าไม่ใช่เป็นคู่ความ
ดังนั้นผู้ร้องจึงยื่นอุทธรณ์ โดยวันนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ก็ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว ส่วนแพ่งก็ให้ดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ในส่วนคดีแพ่ง ตนได้ปรึกษากับนายซูริก์ฟัต จำเลยที่ 1 แล้วนายซูริก์ฟัตบอกว่า ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายนั้นให้ทั้งหมด รวมส่วนของจำเลยที่ 2-6 ด้วย ส่วนจะจ่ายเมื่อให้ใดต้องรอประสานกับจำเลยก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลคดีอาญาคดีดังกล่าวถือว่ายังไม่สิ้นสุด โดยอัยการโจทก์-จำเลย ต่างได้ยื่นอุทธรณ์กัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า