ท่ามกลางเรื่องราวและความทรงจำที่เกิดขึ้นมากมายในเกมของคืนฟุตบอลยุโรปที่ยิ่งใหญ่ระหว่างลิเวอร์พูลและปารีส แซงต์ แชร์กแมง มีอยู่สองจังหวะการเล่นที่ผมมองว่าสำคัญมากที่สุด
จังหวะแรกคือจังหวะที่ เนย์มาร์ นักฟุตบอลเจ้าของค่าตัวสูงสุดถูกหยุดไม่ให้ไปต่อในจังหวะกระชากบอลช่วงต้นเกมด้วยการเข้าสกัดที่หนักแน่นและแม่นยำ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถหยุดซูเปอร์สตาร์ลูกหนังคนนี้ได้แบบนี้
การตัดบอลที่ชวนให้นึกถึงฉากที่พ่อมดเทาแกนดัล์ฟประกาศก้องต่อหน้าอสูรนรกบัลร็อกว่า You shall not pass! ในครั้งนี้เป็นการ set the tone หรือการกำหนดทิศทางของเกมอย่างอ้อมๆ แต่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะก่อนหน้านั้นในช่วงออกสตาร์ทเกมไม่กี่นาที เนย์มาร์มีจังหวะโชว์ความพลิ้วไหวให้เห็นด้วยการลากแหวกผู้เล่นในชุดแดงเพลิงอย่างเหนือชั้น
หากไม่มีใครสักคนไปหยุดเขาก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่จะไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้อีกตลอดทั้งเกม และนั่นหมายถึงโอกาสที่ปารีส แซงต์ แชร์กแมงจะได้รับชัยชนะในเกมนี้ก็ย่อมสูงตามไปด้วย
อีกจังหวะคือการตัดบอลในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการตัดบอลจาก คีเลียน เอ็มบัปเป้ การตัดบอลจังหวะนี้นำไปสู่โอกาสครั้งสุดท้ายของลิเวอร์พูล และมันจบลงด้วยประตูชัยที่เด็ดขาดเหนือชั้นของ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ตัวสำรองของเนย์มาร์ในทีมชาติบราซิลที่ทำให้สนามแอนฟิลด์ได้บันทึกอีกหนึ่งค่ำคืนที่แสนพิเศษอีกครั้ง
ทั้งสองจังหวะเกิดขึ้นโดย เจมส์ มิลเนอร์ กองกลางวัย 32 ปี นักฟุตบอลที่ทำผลงานได้โดดเด่นมากที่สุด แม้กระทั่งในคืนที่ผู้เล่นลิเวอร์พูลต่างทำผลงานได้น่าประทับใจกันเกินกว่าครึ่งทีม
โดยที่ความโดดเด่นของมิลเนอร์ไม่ได้มาจากการเล่นที่หวือหวาหรือแสดงลูกมหัศจรรย์อะไรให้เห็น
สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่สิ่งที่เรียบง่ายมากๆ ครับ คือการคุมพื้นที่ในแดนกลางอย่างมีวินัย ทำตามคำสั่งที่ผู้จัดการทีมมอบหมายให้ การผ่านบอลที่แม่นยำ การเล่นด้วยไหวพริบ แก้ไขสถานการณ์ให้กับทีมทั้งในเกมรุกและเกมรับ รวมถึงการยิงลูกจุดโทษให้เฉียบขาดที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพียงแต่ในสิ่งที่เรียบง่ายเหล่านี้ ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุดครับ
มีเพียงนักฟุตบอลระดับโลกตัวจริงเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ และผมไม่คิดว่าเป็นการกล่าวเกินความจริงไปจากสิ่งที่ได้เห็นตลอดระยะเวลา 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา
มิลเนอร์ในวันนี้ที่เข็มนาฬิกาชีวิตกระดิกติ๊กๆ เดินไปข้างหน้าทุกขณะกำลังเล่นฟุตบอลได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่ผิดนักหากจะบอกว่าเขากำลังอยู่ในฟอร์มของชีวิตซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ใครหลายคนเคยคิดถึงเขาในอีกรูปแบบ
ในวันที่ย้ายจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาอยู่ที่ลิเวอร์พูล ‘มิลลี’ (ชื่อเล่นของเขา) ถูกมองว่าเป็นนักเตะที่หมดสภาพ ไม่มีอนาคตเหลืออยู่ และรอเวลาที่จะดับสูญไปจากความทรงจำของแฟนฟุตบอลอย่างช้าๆ
การที่เขาถูกมองเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในสีเสื้อฟ้าสดใสของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มิลเนอร์ไม่ได้เปล่งประกายอะไรออกมามากมายนัก
เมื่อรวมกับบุคลิกของความเป็นคนนิ่งเรียบและเหมือนจะเงียบจนน่าเบื่อ (เป็นที่มาของการที่มีคนแซวว่า Boring James Milner ซึ่งกลายเป็นแอ็กเคานต์ล้อเลียนในทวิตเตอร์ที่โด่งดังอย่างมากในเวลาต่อมา) ทำให้เขาไม่ใช่คนที่ถูกมองว่าสำคัญในทีมที่อุดมไปด้วยสตาร์ระดับอุโฆษอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้
แต่แทนที่จะน้อมรับสิ่งเหล่านี้ด้วยความยินดี มิลเนอร์กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามด้วยการเลือกที่จะทิ้งทีมที่พร้อมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ได้ในทุกฤดูกาลอย่างซิตี้เพื่อมาอยู่กับลิเวอร์พูล ที่ในวันเวลาที่เขาตกลงจะย้ายมาร่วมหอลงโรงนั้นกำลังอยู่ในภาวะที่ตกต่ำอย่างน่าตกใจ
สิ่งเดียวที่เขาเรียกร้องจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส อดีตผู้จัดการทีมในเวลานั้น คือขอโอกาสให้เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งที่เขาต้องการจริงๆ ได้ไหม
ตำแหน่งที่ว่าคือ Central Midfielder หรือตำแหน่งกองกลางตัวกลางที่ยืนประจำการในพื้นที่กลางสนาม ไม่ใช่ปีกหรือวิงแบ็กริมเส้นแบบที่เขาถูกใช้งานในทีมเก่า
ในช่วงแรกมันก็เป็นไปตามประสงค์ของเขาอยู่ครับ แต่ชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ผลงานของลิเวอร์พูลย่ำแย่หนักและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตำแหน่งผู้จัดการทีม ร็อดเจอร์สต้องออกไป และเป็น เจอร์เกน คลอปป์ ที่เข้ามาแทนที่
คำขอจากเจ้านายใหม่แทบทำให้เขาคลั่ง เมื่อคลอปป์ต้องการให้เขาช่วยแก้ปัญหาเกมริมเส้นฝั่งซ้ายที่เป็นจุดอ่อนสำคัญของทีมด้วยการเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายแทนที่ของ อัลแบร์โต โมเรโน ซึ่งหลุดฟอร์มและสูญเสียความมั่นใจอย่างหนัก
ลองเปรียบสถานการณ์กับคนทั่วไป ถ้าเป็นคุณที่อุตส่าห์ย้ายมาที่ทำงานใหม่เพื่อหนีให้พ้นหน้าที่การงานแบบเดิมๆ แต่ถูกขอให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ คุณจะทำไหม
บางคนอาจจะทำ แต่ทำแบบขอไปที หรือหนักข้อก็อาจจะต่อต้าน ไม่ยอมทำ
แต่สำหรับมิลเนอร์ ถึงจะยอมรับในเวลาต่อมาว่าเขาไม่ชอบ แต่เขาก็ยินดีทำ และทำอย่างเต็มที่ด้วยความคิดที่ว่า ‘ทีมต้องมาก่อน’ เสมอ
ตลอดทั้งฤดูกาลนั้น (2015-16) เรื่อยมาจนถึงฤดูกาลต่อมา มิลเนอร์คือแบ็กซ้ายตัวหลักที่ลิเวอร์พูลขาดไม่ได้ด้วยการเติมเกมบุกที่แน่นอน เกมรับที่เหนียวแน่น การเปิดบอลที่แม่นยำ ความขยัน การอ่านสถานการณ์ของเกม และสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่เขานำทุกสิ่งที่สั่งสมตลอดชีวิตมาใช้
จากนั้นในฤดูกาลต่อมาหรือฤดูกาลที่แล้ว เขาถูกดรอปในหลายเกมแรก เมื่อแบ็กซ้ายถูกโยนกลับไปให้โมเรโนอีกครั้ง ก่อนจะเป็น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายตัวใหม่ที่คว้าตำแหน่งไปครองได้และไม่ปล่อยให้หลุดมือนับจากนั้น ขณะที่พื้นที่แดนกลางสนามก็ดูจะแน่นไปหมดเมื่อ ฟิลิปป์ คูตินโญ ถูกถอยลงมารับบทเพลย์เมกเกอร์กลางสนาม เมื่อรวมกับกัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และจอมขยัน จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม
ดูคล้ายมิลเนอร์จะกลายเป็นส่วนเกินในทีมอีกครั้ง
ในสถานการณ์แบบนี้ มันง่ายมากครับสำหรับนักฟุตบอลในวัย 30 ต้นๆ คนหนึ่งที่เหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไรในเส้นทางอาชีพลูกหนังจะตัดใจอำลาเพื่อค้นหาโอกาสกับทีมใหม่ในขณะที่ยังมีเวลาและโอกาสอยู่
แต่มิลเนอร์เลือกจะรอโอกาสอย่างอดทน และเมื่อเขาได้โอกาสให้ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวกลางที่เขาเฝ้ารอมาตลอด เขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปอย่างสูญเปล่า
ในบทสัมภาษณ์กับทาง The Daily Telegraph มิลเนอร์เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจ ผู้เล่นทุกคนต่างต้องการที่จะลงไปเล่นฟุตบอล และผมเองก็เช่นกัน มันเป็นสิ่งที่ผมต้องการทำ แต่ผู้จัดการทีมเป็นคนเลือกทีม ซึ่งถ้าเราไม่มีชื่อ เราก็ต้องพยายามที่จะทำให้มีชื่อติดทีมให้ได้ และเมื่อได้รับโอกาสแล้วก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อที่จะคว้ามันให้ได้”
เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาดีพอที่จะเป็นตัวจริงในทีมได้ และทุกครั้งที่เราคิดว่าเขาจะโดนตัดชื่อออกจากทีม เราก็จะเห็นชื่อของเขาปรากฏในทีมเสมอราวกับว่าคลอปป์ตัดใจไม่ลงที่จะไม่เลือกใช้งานนักฟุตบอลผู้ที่มีทั้งความมานะ ระเบียบวินัย มีหัวใจที่ผสมผสานกันระหว่างเปลวไฟที่ร้อนแรงและกับความเย็นยะเยือก
และอย่างที่เราได้เห็นในเกมกับปารีส แซงต์ แชร์กแมง รวมถึงในอีก 5 นัดที่ผ่านมาของฤดูกาลนี้ และย้อนหลังกลับไปในเส้นทางแสนมหัศจรรย์สู่นัดชิงแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว เวลานี้เขาคือผู้เล่นคนที่สำคัญที่สุดในทีมลิเวอร์พูลในทุกมิติ และเป็นคนที่เดอะค็อปรักมากที่สุดในเวลานี้
อดีตเจ้าของสถิตินักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้เมื่อ 16 ปีที่แล้วคือคนสำคัญ คนที่พึ่งพาได้เสมอ ไม่ว่าจะเจอกับใคร ที่ไหน เมื่อไร
เขาทำให้ผมคิดถึง เอเลียด คิปโชเก ยอดนักวิ่งชาวเคนยา กับประโยคอมตะของเขาที่ว่า “ผู้ที่มีวินัยเท่านั้นจึงจะมีอิสระ”
มิลเนอร์มีทุกวันนี้ได้ด้วยความมีวินัยในตัวเอง ไม่ว่าจะยามอยู่ในสนามหรือนอกสนาม
มากกว่านั้นคือทัศนคติของความเป็นมืออาชีพที่แท้จริง
และเหนืออื่นใด นี่คือคนที่พิสูจน์ให้เราได้เห็นครับว่าคุณค่าที่แท้จริงของคนเรานั้นไม่ได้อยู่ที่ราคาค่าตัว เงินเดือน หรือคำวิจารณ์ของใคร
คุณค่านั้นอยู่ที่ตัวของเรา และมีเพียงเราเท่านั้นที่รู้ว่าเรามีค่าแค่ไหน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- www.telegraph.co.uk/football/2017/10/31/james-milner-didnt-like-liverpool-left-back-team-comes-first
- www.telegraph.co.uk/football/2018/09/19/james-milner-no-unsung-hero-utility-man-rapidly-becoming-liverpools
- www.thetimes.co.uk/edition/sport/milner-stars-cavani-flops-how-liverpool-and-psg-rated-n36dgq3vn
- เจมส์ มิลเนอร์ เคยเป็นเจ้าของสถิตินักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในพรีเมียร์ลีก ในเกมที่ลีดส์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดแรก เอาชนะซันเดอร์แลนด์ 2-1 ในวันบ๊อกซิ่งเดย์ (26 ธันวาคม 2002) ด้วยวัย 16 ปีกับอีก 356 วัน แซงหน้า เวย์น รูนีย์ เจ้าของสถิติเดิมที่ทำได้ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ก่อนที่สถิติของมิลเนอร์จะถูกทำลายโดย เจมส์ วอห์น กองหน้าดาวรุ่งเอฟเวอร์ตันในปี 2005
- มิลเนอร์เริ่มเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย และเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นอย่างมากในช่วงต้นยุคมิลเลนเนียม เคยได้รางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ PFA ในปี 2009 ด้วย
- ด้วยความสามารถที่หลากหลายเข้าขั้นทำได้ทุกอย่าง ทำให้มิลเนอร์กลายเป็นผู้เล่นอเนกประสงค์ที่เล่นได้ทั้งปีก แบ็ก กองหน้า หรือกองกลาง
- ในเกมที่เอาชนะเปแอสเช มิลเนอร์คือผู้ที่วิ่งทำระยะทางได้สูงสุด 12.15 กิโลเมตร มากกว่าอันดับ 2 อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่วิ่งทำระยะทาง 11.02 กิโลเมตร ในขณะที่ระยะเฉลี่ยของทีมลิเวอร์พูลทั้งทีมคือ 9.90 กิโลเมตร
- แอ็กเคานต์ทวิตเตอร์ Boring James Milner (@boringmilner) ที่ล้อเลียนภาพลักษณ์ที่น่าเบื่อของเขาด้วยมุกที่ #เฉียบ มีผู้ติดตามมากถึง 6.2 แสนคน! หลังเปิดแอ็กเคานต์มาตั้งแต่ปี 2013
- มิลเนอร์เพิ่งจะเปิดแอ็กเคานต์ทวิตเตอร์ส่วนตัวอย่างเป็นทางการ (@JamesMilner) เมื่อเดือนมีนาคม 2018 โดยสร้างความฮือฮาด้วยการล้อตัวเองด้วยภาพรีดเสื้อ (สื่อถึงความน่าเบื่อ) และข้อความว่า #TBT to yesterday…. when I wasn’t on Twitter! (ย้อนเวลากลับไปเมื่อวาน…ในตอนที่ผมยังไม่ได้เล่นทวิตเตอร์)
- ปัจจุบัน @JamesMilner มีผู้ติดตาม 4.3 แสนคน! และทุกคนได้เห็นและรู้แล้วว่าใต้สีหน้าที่ดูเบื่อโลกนั้น ความจริงแล้วมิลเนอร์เป็นคนเกรียนคนหนึ่งที่ตลกมาก 🙂