×

เปรียบเทียบ iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR คุ้มแค่ไหน พร้อมความเห็นสื่อนอกที่ได้ลองเครื่อง

13.09.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • เมื่อวานนี้ Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 4 อย่าง ประกอบไปด้วย Apple Watch Series 4, iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR ซึ่งความเห็นของผู้เข้าชมงานจำนวนไม่น้อยรู้สึกตรงกันว่าการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ไม่ว้าวเท่าที่ควร
  • ทั้ง iPhone XS, XS Max และ XR คือการอัปเกรดประสิทธิภาพ และดีไซน์บางส่วนจาก iPhone X รุ่นฉลองครบรอบ 10 ปี เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง Apple ก็ได้ยุติการผลิตรุ่น X และถอนข้อมูลออกจากหน้าเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
  • iPhone XR คือทางเลือกที่น่าสนใจมาก เมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพในเชิงการใช้งานโดยรวมที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ารุ่นอื่นๆ เลย แถมมีราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่าถึงเกือบ 250 เหรียญสหรัฐหรือราว 8,200 บาท

เช้ามืดที่ผ่านมาตามเวลาบ้านเรา (ตรงกับวันพุธที่ 12 กันยายนเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา) Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 4 อย่าง ประกอบไปด้วย Apple Watch Series 4, iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR

 

แต่ความเห็นจากผู้ชมจำนวนหนึ่ง รวมถึงผู้คร่ำหวอดในวงการไอทีบางส่วนกลับมองว่าการเปิดตัว iPhone รุ่นปี 2018 ทั้ง 3 โมเดลนี้ ไม่มีอะไรพิเศษหวือหวาเท่าที่ควร และมีหลายคนที่รู้สึกว่าการเปิดตัวครั้งนี้ค่อนข้างน่าผิดหวัง

 

ขณะที่ค่ายคู่แข่งจากจีนอย่าง Huawei ก็ได้ทีเย้ยหยันก่อนเตรียมเปิดตัว Huawei Mate 20 ว่า “ขอบคุณที่ยังทำอะไรเหมือนเดิม และเปิดทางให้เราเป็นฮีโร่ของปีนี้ เจอกันที่ลอนดอน 16 ตุลาคม 2018 นะจ๊ะ”

 

 

เพื่อเป็นคู่มือประกอบการตัดสินใจเบื้องต้น THE STANDARD ได้สรุปเป็นข้อมูลง่ายๆ เพื่อช่วยให้คุณพิจารณาว่า iPhone ทั้ง 3 รุ่นไหมในปีนี้ มีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างไร แล้วรุ่นไหนควรค่าแก่การเป็นเจ้าของมากที่สุด

 

 

กางสเปก iPhone XS, XS Max และ XR รุ่นไหนดีอย่างไร

 

ตารางประกอบบทความเปรียบเทียบข้อมูล iPhone 3 รุ่นใหม่ (2018) และ iPhone X 

 

จากตารางข้อมูลจะพบว่า iPhone XS, XS Max และ XR ที่เปิดตัวทั้งหมดในปีนี้คือการนำ iPhone X รุ่นฉลองครบรอบ 10 ปีเมื่อปีที่แล้วมาต่อยอดและปรับปรุงฮาร์ดแวร์ภายในบางส่วน ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเทียบกับ iPhone 8 และ iPhone X ในปีที่ผ่านมา

 

ทีนี้เราลองมาไล่ดูแต่ละโมเดลกันบ้าง ว่ารุ่นไหนมีจุดเด่นที่อะไร

 

สำหรับ iPhone XS และ XS Max คือการนำโมเดล ‘S’ ที่ห่างหายไปนานถึง 2 ปีตั้งแต่รุ่น iPhone 7 (2016) กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนแปลงโมเดลเดิมบางส่วนให้ดีขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะความเร็วในการประมวลผลที่เปลี่ยนจากชิป A11 Bionic มาเป็น A12 Bionic พร้อมใช้ชิปแบบ 7 นาโนเมตรเป็นครั้งแรก

 

ด้านดีไซน์ ทั้ง XS และ XS Max ใช้วัสดุเป็นกระจกและสเตนเลสเหมือน iPhone X ทั้งคู่ (เคลมว่าเป็นสเตนเลสคุณภาพเดียวกับที่ใช้ในเครื่องมือศัลยกรรมทางการแพทย์) หน้าจอของ XS เป็น Super Retina HD แบบ OLED 5.8 นิ้ว (เท่ากับ X) ส่วน XS Max เป็น Super Retina HD แบบ OLED 6.5 นิ้ว ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ที่ Apple เคยผลิต iPhone มา

 

ประสิทธิภาพของกล้องถ่ายรูป ทั้งกล้องด้านหลังเลนส์คู่และกล้องหน้าก็เท่ากันที่ 12MP (ƒ/1.8, ƒ/2.4) และ TrueDepth 7MP (ƒ/2.2) ตามลำดับ ที่เพิ่มขึ้นมาคือโหมดถ่ายภาพ Potrait แบบโบเก้

 

 

ถ้าให้สรุปสิ่งที่เปลี่ยนไปแบบชัดๆ จาก X สู่ XS และ XS Max ก็จะสามารถแบ่งเป็นข้อๆ ดังนี้

  • ชิป A11 > ชิป A12
  • ขนาดหน้าจอจากเดิมที่ 5.8 นิ้ว > เป็น XS Max ที่ 6.5 นิ้ว
  • ความสามารถกันน้ำจาก IP67 (ทนน้ำความลึกไม่เกิน 1 เมตร สูงสุด 30 นาที) > IP68 (ทนน้ำความลึกไม่เกิน 2 เมตร สูงสุด 30 นาที)
  • เพิ่มขนาดความจุ 512GB เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
  • รองรับรองรับเทคโนโลยี DSDS (Dual SIM Dual Standby) มีทั้งซิมปกติและ eSIM ส่วนโมเดลที่วางขายในประเทศจีนจะรองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมด้วย
  • ความอึดของแบตเตอรี่ XS และ XS Max ใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่า X ที่ 30 นาทีและ 1 ชั่วโมง 30 นาที ตามลำดับ
  • เพิ่มตัวเครื่อง ‘สีทอง’
  • ราคาเปิดตัวเริ่มต้นของ X และ XS เท่ากันที่ 999 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32,700 บาท (ราคาเปิดตัวในไทยเริ่มต้น 40,500 บาท) ส่วนราคาเริ่มต้นของ XS Max ขยับไปเริ่มที่ 1,099 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 36,000 บาท

 

จะเห็นว่าระหว่าง X และ XS แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแบบก้าวกระโดดเลยด้วยซ้ำ มีเพียงชิปประมวลผลที่ถูกเพิ่มขึ้นเป็น A12, ความจุแบบ 512GB ซึ่งถ้าเปรียบเทียบในเชิงการประมวลผลการทำงานก็คงไม่ต่างกันมากมายขนาดนั้น

 

ขณะที่ XS Max คือการทำให้ X พรีเมียมและหรูหรามากขึ้นกว่าเดิม โดยชูดจุดเด่นขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้วที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ Apple เคยผลิต iPhone มา แต่ก็ต้องแลกด้วยราคาที่แพงขึ้นอีก 100 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,300 บาท

iPhone XR ทางเลือกที่เป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ที่สุด

ฝั่งม้านอกสายตาอย่าง XR แม้จะเปิดตัวในลำดับสุดท้าย และให้อารมณ์เหมือนขบวนการซูเปอร์เซนไต 5+1 สี พอสมควร (ดำ, ขาว, แดง, เหลือง, น้ำเงิน และส้มคอรัล (Coral)) แต่อย่าประมาทสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นอันขาด เพราะหากเทียบในเชิงขุมกำลัง และภาพรวมศักยภาพทั้งหมดแล้ว มันสามารถทำได้ทุกอย่างไม่ต่างจาก X หรือ XS เลยด้วยซ้ำ

 

 

ถึงกล้องหลังจะเป็นแบบเลนส์เดี่ยว 12 ล้านพิกเซล แต่ก็ถ่ายแบบชัดลึกหรือ Portrait Mode ได้เหมือนกัน ความต่างเพียงเล็กน้อยคือหน้าจอเป็น Liquid Retina HD แบบ LCD 6.1 นิ้ว, ซูมดิจิทัลได้สูงสุดที่ 5 เท่าเท่านั้น (รุ่นอื่นถ่ายได้ 10 เท่า) และไม่มี 3D Touch ส่วนตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นกระจกและอะลูมิเนียม (อีก 3 รุ่นที่เหลือเป็นกระจกและสเตนเลส) แต่เมื่อพิจารณาจากราคาเริ่มต้นที่ 749 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 24,500 บาท ต้องยอมรับว่า XR คือทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ

 

นับจนถึงวันนี้ (13 กันยายน) ตัวแทนจำหน่ายในไทยยังไม่มีการประกาศราคาวางจำหน่าย และวันเวลาวางขายอย่างเป็นางการออกมา แต่ ณ เวลานี้สื่อบางส่วนหลายรายในไทยก็เริ่มคาดการณ์ราคาล่วงหน้าออกมาแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียวที่ XS Max อาจจะมีราคาแตะหลักครึ่งแสนหรือ 50,000 บาท!

 

ขณะที่ Apple ก็ยุติการผลิตและการจำหน่าย iPhone X เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาบีบให้ลูกค้าหันมาซื้อ XS, XS Max และ XR ทางอ้อม ถ้าถามเราว่าทั้ง 3 รุ่นเหมาะกับใคร ก็คงต้องบอกว่า

 

  • XS เหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนจาก iPhone รุ่นเดิมๆ แต่ไม่ซีเรียสเรื่องขนาดหน้าจอ
  • XS Max เหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนไปใช้ iPhone ที่หน้าจอใหญ่กว่าเดิม และต้องการความสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ที่สำคัญต้องกระเป๋าสตางค์หนักด้วย!
  • XR คนที่มีงบพอดีๆ และต้องการเปลี่ยนจาก iPhone รุ่นเดิม ไปยังซีรีส์ X
  • ถ้าใช้ iPhone 6S (ยุติการผลิตและการจำหน่ายไปแล้ว) หรือรุ่นที่เก่ากว่านั้น การเปลี่ยนไปใช้ XS และ XS Max ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะถือเป็นการยกเครื่องอัปเกรดชุดใหญ่ทีเดียวไปเลย
  • ถ้าใช้ iPhone 7, iPhone 8 และ iPhone X ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องแต่อย่างใด ถ้าเครื่องของคุณยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่ก็เก็บ XR ไว้เป็นทางเลือกในใจได้เช่นกัน

 

 

ด้านความเห็นจากสื่อนอกส่วนใหญ่ที่ได้ทดลองเครื่องในงานเปิดตัวเมื่อวานนี้ต่างเห็นตรงกันว่า ‘iPhone XR’ เป็นทางเลือกที่ดี โดย Engadget ระบุว่า XR ให้ความรู้สึกเหมือน iPhone SE และ iPhone 5C รุ่นประหยัดทั้ง 2 โมเดลก่อนหน้านี้ แต่มีความพรีเมียมและประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีกว่า รวมถึงจัดอยู่ในเกณฑ์ราคาที่จับต้องได้สำหรับทุกคน

 

ฝั่ง The Verge บอกว่า iPhone XS ให้ความรู้สึกเหมือน iPhone X มาก เพียงแต่วัสดุกระจก และอะลูมิเนียมที่ใช้ผลิตทำให้ตัวเครื่องจับถนัดและไม่ลื่นมือ ส่วน XS Max ก็ถือว่าเป็นการอัปเกรดจาก iPhone X เป็นเวอร์ชัน Plus ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นได้อย่างจุใจ ซึ่ง Business Insider เชื่อว่ามันจะเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงแน่นอน

 

ที่สุดแล้ว iPhone ซีรีส์ X ที่เปิดตัวใหม่ทั้ง 3 โมเดลในปีนี้ รุ่นไหนจะเหมาะกับคุณหรือไม่คลิกอย่างไร ก็คงต้องรอดูกันยาวๆ และพิจารณาจากราคาเปิดตัวในประเทศไทยอีกที

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising