มากกว่าหนึ่งทศวรรษที่ ‘เนวิน ชิดชอบ’ เจนจัดอยู่ในเวทีการเมือง และเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้วเช่นกันที่เขาประกาศตัวลงจากเวที แต่ไม่ได้หายไปจากหน้าสื่อ ด้วยหน้าที่บริหารทีมฟุตบอลและพัฒนาบุรีรัมย์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะส่งเสริมการท่องเที่ยวยังคงถูกพูดถึงเรื่อยมา
วันนี้กับปีที่ 9 ของการสร้างบุรีรัมย์ และยังเป็นปีที่ 2 ที่ได้รับการเหลียวแลจาก ‘อำนาจรัฐ’ เข้ามาส่งเสริมการท่องเที่ยว
แม้จะได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าอำนาจรัฐ แต่ ‘ลุงเนวิน’ ก็เห็นอีกด้านของอำนาจรัฐที่ลิดรอนสิทธิในการทำมาหากินโดยสุจริตของประชาชน เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง
ทำให้วันนี้ข้อเสนอทางการเมืองของลุงเนวินคือ Sharing Economy ซึ่งมาจากประสบการณ์ที่ต้องเตรียมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาชมโมโตจีพี (MotoGP) บวกกับการที่ภาครัฐส่งเสริมให้บุรีรัมย์เป็น 1 ใน 12 เมืองรอง เมืองท่องเที่ยวต้องห้ามพลาด
ทว่าบุรีรัมย์ที่มีไฟลต์บินต่อวันถึง 10 ไฟลต์ แต่นักท่องเที่ยวกลับต้องเจอกับแท็กซี่รองรับเพียง 15 คัน ตลอดจนทั้ง 12 เมืองรองทั่วไทยต่างก็ขาดบริการขนส่งสาธารณะที่เพียงพอ
นำมาสู่ข้อเสนอการเปิดโอกาสให้ Grab และ Uber สามารถเกิดได้ง่ายและแพร่หลายขึ้น ต่อเนื่องถึงที่พัก ห้องเช่า ทำอย่างไรถึงจะดึงศักยภาพของประชาชนเจ้าของจังหวัดให้ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวแบบ win-win
“รัฐบาลรู้จักคำว่า Airbnb ไหม นึกออกไหม” เป็นอีกคำถามดังๆ จากลุงเนวินวันนี้ ที่ส่งตรงถึงผู้ถืออำนาจรัฐ
“ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” คลายกฎหมายที่เป็นอุปสรรคคือส่วนหนึ่งของข้อเสนอลดอำนาจรัฐจากลุงเนวินถึง ‘ลุงตู่’
และนี่คือ เนวิน ชิดชอบ เจ้าของสโลแกนที่หลายคนบอกว่า หากได้ชิดจะยิ่งชอบ ซึ่งเปิดใจกับ THE STANDARD ในรอบหลายปีที่ว่างเว้นจากการให้สัมภาษณ์แบบเดี่ยวๆ มานาน
Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP
เปิดตัวตน เนวิน ชิดชอบ จากปากเนวิน
ถ้าต้องการรู้ว่าใครสักคนเป็นคนแบบไหน ถ้าฟังจากคนอื่นพูดถึงคนคนนั้นเราอาจเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้
ขณะที่การฟังเจ้าตัวพูดถึงตัวเองก็ดูจะเป็นเรื่องประหลาดไปในที เพราะทุกคนล้วนแต่เลือกที่จะพูดถึงข้อดีของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้นการให้ใครสักคนนิยามตัวเองย่อมเป็นเครื่องพันธนาการตัวเขาถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง ที่สามารถใช้ชั่งน้ำหนักตัวตนคนคนนั้นได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
เนวิน ชิดชอบ นิยามตัวเองจากปากของตัวเองว่า
“ถ้าคอการเมืองก็บอกว่าเราเป็นนักการเมืองเจ้าเล่ห์ นักการเมืองที่น่ารังเกียจ คนที่แม่ง โอ้โห คบไม่ได้ คนเนรคุณ อะไรสารพัดล่ะ ไอ้ที่ไม่ดีทั้งหมดคือเนวิน ในคอการเมือง ในพาร์ตการเมือง นี่คือเนวิน แต่ถ้าเป็นแฟนฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผมก็เป็นความหวัง ความศรัทธา อะไรที่เป็นความสุขของแฟนฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด”
โชคดีเลิกเล่นการเมือง ลูกร้องไห้เพื่อนไม่คบ พ่อเป็นเสื้อแดง
นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 เขายังมีบทบาททางการเมืองร่วมกับพรรคพลังประชาชน แต่ในงานวันเกิดของเนวินเมื่อปี 2555 ที่บ้านบุรีรัมย์ เขาได้ประกาศชัดเจนว่า ‘ขอวางมือทางการเมือง’ และขอตั้งเป้าหมายการใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข
โดยจะให้เวลากับฟุตบอล 70% และมอเตอร์ไซค์ 30% และเนวินก็เดินหน้าพัฒนาทีมฟุตบอลและจังหวัดบุรีรัมย์แบบก้าวกระโดด สำเร็จเสร็จสม ทั้งแชมป์และเมืองใหญ่ที่มีอะไรให้ผู้คนต้องมาเยือน
การตัดสินใจแขวนนวมลงจากเวทีการเมืองของเนวิน เขาบอกว่านับเป็น ‘โชคดี’
“วันที่ตัดสินใจ พวกลูกๆ ไปเรียนหนังสือ แล้วบ้านเมืองตอนนั้นกีฬาสีกำลังวุ่นวาย”
เนวินบอกว่าตัวเองเคยคิดไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าจะเลิกเล่นการเมือง รีไทร์ตัวเองในวัย 55 ปี แต่การรัฐประหารโดย คมช. ที่นำโดย บิ๊กบัง พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน มีส่วนทำให้เขาต้องเลิกเล่นการเมืองเร็วขึ้น
“โอ้โห แม่ง กูอยู่คนเดียว หาคนคุยด้วยก็ไม่ได้ ไม่เจอใคร 10 วัน 11 คืน ไม่รู้จะได้กลับบ้านหรือเปล่า แต่ก็รอดมาถึงทุกวันนี้ได้ แต่มันก็ทำให้เราได้คิดอะไรเยอะ แล้วก็พอโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ก็ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้บ๊ายบายกับการเมืองเลย”
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญ เพราะเหตุผลหลักที่ทำให้เนวินตัดสินใจเลิกเล่นการเมืองก็คือ ‘ครอบครัว’ เมื่อลูกไปโรงเรียนแล้วกลับมาร้องไห้ บอกว่าไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว
“ผมถามลูกว่า เกิดอะไรลูก ได้คำตอบว่าเพื่อนที่โรงเรียนพักเที่ยงไม่ยอมเล่นด้วย เพราะพ่อเป็นเสื้อแดง หนูเสื้อเหลือง แล้วถ้ามันระบาดไปถึงเด็กที่เรียนอยู่ ประมาณ Year 3 Year 4 เนี่ย คนเป็นพ่อเป็นแม่รู้สึกอย่างไร ไม่ไหวนะบ้านเมือง ผมบอกตัวเองกูไม่เอาแล้ว มันไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าครอบครัวหรอก ถ้าของแค่นี้เรายังให้ลูกเราไม่ได้ ความสุขแค่นี้เราให้ลูกเราไม่ได้ เราปกป้องลูกเราไม่ได้ จะมีปากมาบอกว่ามึงเป็นนักการเมือง เล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน จะรักษาประโยชน์ ตอแหลทั้งหมด เพราะขนาดลูกมึงยังดูแลไม่ได้ ไม่รู้จักที่จะให้เขาเลย แล้วจะให้คนอื่นได้อย่างไร”
ถ้ามีคนมาชวนหวนคืนการเมือง เนวินตอบชัด ‘ไม่ไป’ ขอเป็นแค่ ‘ลุงเนวิน’
จับเข่าคุยกับเนวินถึงชีวิตการเมืองในวันแขวนนวม ก็ยากที่จะไม่ถามถึงอนาคตการเมืองของประเทศนี้ในฐานะคนที่เจนจัดอยู่บนเวทีมาอย่างโชกโชน
“ไม่รู้” คือคำตอบจากปากของเขา เมื่อถามถึงอนาคตการเลือกตั้งของไทยที่เลื่อนไปเลื่อนมา
“ไม่ไป” คือคำยืนยันแทบจะทันทีถึงสถานะตัวเองที่จะไม่ขอเกี่ยวข้องกับการเมืองอีก
“มานั่งคุยกัน มาถามกัน ไม่ต้องมาตั้งหรอก คนเราไม่ต้องมีตำแหน่งถึงจะทำงานได้ วันนี้ผมสร้างบุรีรัมย์มา 9 ปี ผมเป็นแค่ลุงเนวิน ผมไม่ได้เป็นท่านรัฐมนตรี เป็นห่าเหวอะไร เอาแค่นี้” เนวินตอบชัดๆ ขึ้นอีก
9 ปีสู่การทำให้ 800 ล้านคนทั่วโลกรู้จักบุรีรัมย์ ไทยแลนด์
ตลอด 9 ปีของการสร้างทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยการนำระบบบริหารจัดการสโมสรฟุตบอลอาชีพเข้ามาใช้กับบริษัท จนสามารถพัฒนาและคว้าแชมป์ลีกได้ทุกถ้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ในปี 2557 เนวินประกาศพัฒนาเมืองบุรีรัมย์สู่เมืองกีฬามาตรฐานโลก สร้างสนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ลั่นวาจาขอยกระดับเมืองบุรีรัมย์สู่การเป็นมหานครแห่งกีฬาระดับโลก
ปี 2561 เดือนตุลาคมที่กำลังจะถึงนี้ ไทยกำลังจะมีอีเวนต์ใหญ่ระดับโลกอย่างโมโตจีพี ที่เป็นอีกหนึ่งความฝันของเนวิน ชิดชอบ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นที่บุรีรัมย์ และทำให้คนกว่า 800 ล้านคนรู้จัก ‘บุรีรัมย์ ไทยแลนด์’
“อีเวนต์ในโลกนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หนึ่งคือฟุตบอลโลก 3 พันล้านคนที่ดู ยิ่งใหญ่มาก รัสเซียเจ้าภาพลงทุนเป็นแสนล้าน อีเวนต์ที่ใหญ่อันดับสองก็คือโอลิมปิก ที่คนดูเยอะที่สุด อันดับสามคือโมโตจีพี”
เนวินบอกว่าคนดูโมโตจีพีมากกว่าฟอร์มูลาวัน “รู้ไหมทำไมมันมากกว่าเยอะ เพราะคนดูฟอร์มูลาวันดูครั้งเดียว แค่ครั้งหนึ่งในชีวิต เหมือนหมาเห็นเครื่องบิน กูไม่มีโอกาสได้ขึ้นหรอก แต่โมโตจีพีมันจับต้องได้มากกว่า”
“แล้วเราชอบโดยส่วนตัว มีแพสชันกับมันอยู่แล้ว เราก็ประกาศว่า ครั้งหนึ่งสร้างเสร็จ สนามนี้จะต้องแข่งฟอร์มูลาวันหรือโมโตจีพีให้ได้ ครั้งหนึ่งในชีวิต นี่คือความตั้งใจ ความมุ่งมั่นในการสร้างเซอร์กิตหนึ่งเซอร์กิตขึ้นมา
“มันไม่ใช่ความสำเร็จของผม แต่เป็นสิ่งที่เราอยากตอบแทนเมืองนี้ ถ้าถามว่า เฮ้ย เราทำทุกอย่างมาใน 8-9 ปี ถามว่าความสำเร็จทั้งหมดมันคืออะไร ความสำเร็จทั้งหมดก็คือมันพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้พระเจ้าจะไม่มีทะเลให้กับบุรีรัมย์ ไม่มีภูเขาให้กับบุรีรัมย์ แต่เราก็สามารถทำให้เมืองของเรากลายเป็นหนึ่งใน destination ของประเทศนี้ได้ แล้วมันก็เป็นหนึ่งใน destination ของโลก สำหรับวงการมอเตอร์สปอร์ต”
Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP
พี่ได้ตอบแทนเมืองนี้แล้ว ไม่ว่าจะเคยทำอะไรไว้
ความสำเร็จของเนวิน นอกจากตัวตนของเขาที่เป็นคนมีพลังมหาศาล ผนวกกับอภิมหาคอนเน็กชัน ความน่าสนใจของสิ่งที่เขาลงมือทำมาจาก Creative บวกกับ Sharing Economy นั่นคือสองอย่างที่เนวินบอกว่านำพาเขาและบุรีรัมย์มาจนถึงวันนี้
“เพื่อทำให้คนบุรีรัมย์ได้ประโยชน์ นั่นคือ Sharing Economy เราทำให้ทุกคนเดินเข้ามาจับมือกัน แล้วช่วยกันทำ เราเริ่มตั้งแต่วันที่ไม่ถึง 5 แสนคน วันนี้เรามี 3 ล้านคน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็เข้ามาบอกว่าเป็น 12 เมืองต้องห้ามพลาด ก็ไม่เป็นไร ก็ขอบคุณ 7 ปีที่ไม่เห็น ปีที่ 8 มาเห็น ก็โอเคแล้ว ก็ทำให้เมืองมันยิ่งโตขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น และมันก็ทำให้ปีที่ 9 มันได้โมโตจีพีมา ถามว่ามันได้อะไรมาบ้าง ผมเชื่อว่าวันนี้มีคนไม่ต่ำกว่า 800 ล้านคนรู้จักบุรีรัมย์ ไทยแลนด์ พี่ถามคำเถอะ การที่เราจะทำให้คน 800 ล้านคนรู้จักโปรดักต์สักตัวหนึ่งมันต้องทำขนาดไหน”
เนวินบอกว่าวันนี้เขาทำสำเร็จ คนบุรีรัมย์ทำสำเร็จ โปรดักต์ที่ชื่อ ‘บุรีรัมย์ ไทยแลนด์’ เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก
“นี่คือสิ่งที่พี่ตอบแทนเมืองนี้ ไม่ว่าพี่จะเคยทำดี ทำถูก ทำผิด บาปกรรมอะไรไว้กับเมืองนี้ก็ตามแต่ อย่างน้อยที่สุดพี่ก็ได้ตอบแทนเมืองนี้แล้ว ทำให้มีคนไม่น้อยกว่า 800 ล้านคนรู้จักเมืองนี้ และมาถึงวันนี้ก็ทำให้คนไม่น้อยกว่า 3 ล้านคนมาเที่ยวเมืองนี้ในแต่ละปี คิดง่ายๆ คนหนึ่งมาใช้เงิน 3,000 บาทพอ อย่าไปพูดถึงจำนวนเงินเยอะแยะ ซึ่งจริงๆ เขาใช้เยอะกว่านี้ ปีหนึ่งก็มีเงินจากการท่องเที่ยวหลายพันล้าน มันไม่ได้เข้ากระเป๋าพี่
“คนบุรีรัมย์ทำด้วยตัวเอง ก้มหน้าก้มตา ภาคเอกชนกับประชาชนจับมือกันทำด้วยความเชื่อในสิ่งที่ผมทำ ผมทำให้ทุกคนเห็นว่า เฮ้ย ที่ทำทั้งหมดเนี่ยไม่ใช่เพื่อให้นายเนวินคนเดียว แต่เพื่อทุกคน”
Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP
ต้องให้ประชาชนทำมาหากินยั่งยืนและต่อเนื่องด้วย Sharing Economy
ข้อเสนอของเนวินเพื่อให้อนาคตไทยสามารถเดินไปด้วยความยั่งยืนและต่อเนื่องคือ ลดอำนาจรัฐ แก้ไขกฎหมายที่จำกัดการทำมาหากิน คือคำตอบเพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของเมืองท่องเที่ยว
“หลายเมืองมันประสบความสำเร็จมาแล้วมันก็อยู่ได้ไม่ยั่งยืน เป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนไปเที่ยวสักพักแล้วไม่ไปเที่ยว รู้ไหมสาเหตุสำคัญที่มันไม่ยั่งยืนสาเหตุเกิดจากอะไร
“อำนาจรัฐนี่แหละ อำนาจรัฐทำให้เกิดการผูกขาดของผลประโยชน์ที่เกิดจากการเป็นเมืองท่องเที่ยว อำนาจรัฐทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพของประชาชนในเมืองท่องเที่ยว”
เนวินบอกว่ารัฐออกกฎห้ามเยอะแยะไปหมด แทนที่จะเป็นเรื่องการอำนวยความสะดวก กลับกลายเป็นการไปฉุดความต่อเนื่องของการพัฒนาไว้
“เยอะแยะไปหมดเลย แล้วพอรายได้จากการท่องเที่ยวมันไปตกกับนายทุน เช่นเมืองเกือบทุกเมือง ประชาชนไม่มีความรู้สึกมีส่วนร่วมกับนักท่องเที่ยว ไม่ได้เทกแคร์ปกป้องนักเที่ยวเที่ยวเพราะอะไร เพราะกูไม่ได้อะไร กูได้น้อยมาก กูไม่ใช่เจ้าของโรงแรม เจ้าของภัตตาคาร กูไม่ใช่เจ้าของบริษัทรถให้เช่า แล้วกูจะต้องไปเดือดร้อนอะไร มีแต่พวกนี้มาเที่ยวแล้วทำให้ทรัพยากรในบ้านเมืองถูกใช้โดยที่เขาไม่ได้อะไร ทีนี้อำนาจรัฐไปเป็นปัญหาแล้วทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน วันนี้สิ่งที่ตั้งใจและรักษาเมืองนี้ให้เติบโตและยั่งยืน มันต้องหาวิธีที่จะทำยังไงที่จะลดอำนาจรัฐ แล้วก็เพิ่มอำนาจประชาชน”
การลดอำนาจรัฐในแบบฉบับของเนวิน คือการลดอำนาจรัฐที่ไปลิดรอนสิทธิการทำมาหากินของประชาชนโดยสุจริต
“เมืองบุรีรัมย์วันนี้มีโรงแรม 5,000 ห้องภายใน 8 ปี มันก็ยังไม่เพียงพอหรอกสำหรับการไปรับโมโตจีพีหรืออีเวนต์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างบุรีรัมย์มาราธอนหรืออะไร แต่ว่า แล้วทำอย่างไรถ้าเราอยากให้คนมาเที่ยวมาก 10 ล้านคนต่อปี ต้องสร้างโรงแรมอีกหรือ มันไม่ใช่ไง วันนี้รัฐบาลรู้หรือเปล่าว่าโฮมสเตย์น่ะชาวบ้านเขามีเต็มไปหมดเลย
“รัฐบาลรู้จักคำว่า Airbnb ไหม นึกออกไหม คนบุรีรัมย์ 1 ล้าน 6 แสนคน โดยเฉลี่ยมีบ้าน หลังคาหนึ่ง 5 คน ก็มีบ้าน 3 แสนหลัง เอาว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของเขา 3 หมื่นหลัง มนุษย์ทุกคน คนอยู่ต่างจังหวัด หนึ่ง จะต้องมีบ้านสวน อยู่ท้ายนาบ้าง หรือว่าบางคน บ้านสร้างไว้ 4 ห้องนอน ตัวเอง 2 คนตายายอยู่ 2 ห้องนอน เหลืออีก 2 ห้องนอน เฮ้ย ทำไมไม่ให้เขาเช่า วันนี้ที่มีปัญหาไม่ใช่แค่บุรีรัมย์ โมโตจีพีมา โรงแรมเต็มหมดแล้ว เต็มไปถึงสุรินทร์ ไปถึงโคราช ถึงมหาสารคาม เต็มไปถึงร้อยเอ็ด แล้วนักท่องเที่ยวที่มาเขาจะไปพักที่ไหน ทั้งที่มันมีที่พัก ก็คือถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจว่าพวกแบ็กแพ็ก นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมานอนเกสต์เฮาส์เท่าไร มานอนโฮมสเตย์เท่าไร แล้วมาผ่านระบบ Airbnb เท่าไร แต่วันนี้ คนพวกนี้ที่มา ผู้ให้บริการทำผิดกฎหมายหมดเลย วันดีคืนดีพี่ไม่มีทางที่จะไปทำงานสร้างผลงาน พี่ก็ไปเที่ยวไล่จับเขา ทั้งๆ ที่บ้านก็บ้านกู ห้องก็ห้องกู
“นี่มันอาชีพสุจริตหรือเปล่า มันผิดแค่ระเบียบ คืออำนาจรัฐที่ไปเขียนเรื่อง พ.ร.บ. โรงแรมฯ ไว้เท่านั้น ถ้าแก้ได้ ชาวบ้านเขาก็จะมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ คนที่ผ่อนคอนโดฯ อยู่ในกรุงเทพฯ ก็เอาคอนโดฯ ให้คนเช่า ก็จะเอารายได้มาผ่อน”
Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP
ข้อเสนอของเนวินคือการทำให้เรื่องเหล่านี้ถูกกฎหมาย และให้ประชาชนสามารถทำมาหากินได้อย่างสุจริต ไม่ไปผูกขาดอยู่ที่นายทุน ขณะที่รัฐพยายามส่งเสริมอาชีพ แต่กลับลืมดูกฎหมายที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถทำมาหากินได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“รัฐบาล ขอโทษนะครับ ไม่ต้องไปจัดโครงการส่งเสริมอาชีพ อบรมทำนู่นทำนี่ให้มันเสียเงิน แค่แก้ พ.ร.บ. โรงแรมฯ นิดเดียว ทุกคนที่เขามีห้องว่างให้เช่า มีบ้านให้เช่า เขาก็จะหารายได้ได้ เหมือนกัน บุรีรัมย์คนไปเที่ยว เดี๋ยวนี้มีไฟลต์บินวันละ 10 ไฟลต์แล้ว ไป 5 กลับ 5 ไปถึงปั๊บแท็กซี่มีอยู่ 15 คัน รถไฟไม่มี รถไฟใต้ดิน รถไฟฟ้าก็ไม่มี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยส่งเสริมไปเที่ยวเมืองรอง ไม่ใช่แค่บุรีรัมย์ แต่ทุกเมืองในประเทศไทย ไม่มีบริการสาธารณะ แล้วเห็น Grab ไหม เห็น Uber ไหม วันนี้มันผิดกฎหมาย แต่เห็นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ออฟฟิศไหม พอเลิกงานเขาไม่กลับบ้าน คนที่สมัครเป็นสมาชิก Grab ไว้ รอดูลูกค้าเรียกเข้ามา เพื่อที่จะกลับในเส้นทางที่ตัวเองกลับบ้าน แล้วก็ไปรับผู้โดยสาร ได้เงิน 150-200 บาท แล้วก็กลับบ้าน ได้เงินมาไว้ผ่อนรถอีก
“คุณแค่ลดอำนาจรัฐด้วยการแก้กฎหมายโรงแรม ลดอำนาจรัฐด้วยการแก้ พ.ร.บ. ขนส่งฯ คุณก็เปิดให้มันมี Grab เปิดให้มี Airbnb ซะ ไอ้นี่มันคือ Sharing Economy คุณมัวแต่รักษาเจ้าของโรงแรม คุณมัวแต่รักษาเจ๊เกียว แล้วชาวบ้านเขาไม่ได้ประโยชน์ ไม่ต้องเสียงบอบรมอาชีพให้เขาหรอก เสียเวลา เสียเงิน งบประมาณรัฐก็ไม่ต้องใช้หรอก แค่แก้กฎหมายแบบนี้ นี่แค่ผมยกตัวอย่าง นี่คือส่วนหนึ่งของการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน”
ปีนี้ เนวิน ชิดชอบ จะมีอายุครบ 60 ปี เท่ากับวัยเกษียณอายุของคนทำงาน หากใช้วิธีคำนวณการนับอายุแบบราชการ แต่เชื่อเหลือเกินว่าเนวินจะยังไม่ยุติการทำงานแต่เพียงเท่านี้
เมื่ออายุไม่ใช่อุปสรรค พละกำลังยังไปไหว เราอาจจะได้เห็นบุรีรัมย์ก้าวไปอีกขั้นเรื่อยๆ แต่ที่ไม่ก้าวไปไหนและไม่ไปแน่นอน คือบทบาททางการเมืองที่เขาประกาศเกษียณอายุตัวเองอย่างถาวรนั่นเอง
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า