Google (Alphabet) ก้าวเข้าสู่ปี 2025 ด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบาก แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น 36% ในปี 2024 แต่ในสายตาของวอลล์สตรีท บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ยังคงถูกมองว่าเป็นเพียง ‘พระรอง’ หรือแม้กระทั่งเบอร์สามในสนามแข่ง AI โดยมี OpenAI เป็นผู้นำที่ทิ้งห่าง
แต่เมื่อตัดภาพมาที่ปัจจุบัน Google ได้กลับมาขโมยซีนและกลายเป็นผู้เล่นหลักที่โดดเด่นที่สุด จนทำให้ แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ‘Code Red’ ในขณะที่บริษัทของเขากำลังเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อไล่ตามโมเดล AI ล่าสุดอย่าง ‘Gemini 3’ ของ Google ให้ทัน ซึ่งเป็นจุดพลิกผันที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2022 Google เองก็เคยต้องประกาศ Code Red เช่นกันในวันที่ ChatGPT เปิดตัวสู่ตลาด
ความสำเร็จของ Google ในปีนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ซอฟต์แวร์ แต่ยังรวมถึงชัยชนะในสมรภูมิชิปประมวลผล ในเดือนตุลาคม Anthropic ผู้พัฒนา Claude ได้ประกาศขยายแผนการใช้ชิป AI ของ Google ซึ่งรวมถึงการใช้โปรเซสเซอร์สูงถึง 1 ล้านตัวเพื่อขับเคลื่อนซอฟต์แวร์ของตน นอกจากนี้ยังมีรายงานจาก The Information ว่า Google กำลังเจรจาเพื่อจัดหาชิปให้กับ Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram เพื่อใช้รันผลิตภัณฑ์ AI ของตนอีกด้วย
จิน มันสเตอร์ (Gene Munster) หุ้นส่วนผู้จัดการของ Deepwater Asset Management ได้เขียนบันทึกถึงนักลงทุนเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมว่า “Google จะเป็นหุ้นในกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปี 2026”
มันสเตอร์ให้เหตุผลว่า “Google อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อพูดถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบครบวงจร Gemini เป็นโมเดลชั้นนำ ฐานผู้ใช้ขยายตัวเร็วกว่า OpenAI ระบบค้นหา (Search) กำลังผสาน AI เข้ากับโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Google Cloud Platform ก็ยังคงรักษาพื้นที่ของตนในวงจรการสร้างโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างมั่นคง”
ชัยชนะด้าน AI ของ Google ยังสะท้อนผ่านตัวเลขรายได้ โดยบริษัทนับรวมรายได้จาก AI เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ Google Cloud Platform (GCP) ซึ่งช่วยหนุนให้ GCP เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในไตรมาสที่ 3 Google รายงานว่ารายได้จาก GCP เติบโตขึ้น 34% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะระดับ 1.51 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.78 แสนล้านบาท) ขณะที่จำนวนลูกค้าใหม่ของ GCP ก็พุ่งขึ้น 34% เช่นกัน
ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ซีอีโอของ Google กล่าวในช่วงแถลงผลประกอบการว่า “พอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ AI สำหรับองค์กรที่ครบวงจรของเรากำลังเร่งการเติบโตของรายได้ อัตรากำไรจากการดำเนินงาน และยอดคำสั่งซื้อที่รอการส่งมอบ”
พิชัยระบุว่า ในไตรมาสที่ 3 เพียงไตรมาสเดียว Google ได้เซ็นสัญญาที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.16 หมื่นล้านบาท) มากกว่ายอดรวมของสองปีที่ผ่านมารวมกันเสียอีก และปัจจุบันลูกค้าคลาวด์เดิมของบริษัทกว่า 70% ได้หันมาใช้บริการ AI แล้ว
ในฝั่งผู้บริโภคทั่วไป Google ได้ผสานความสามารถของ AI เข้ากับ Google Search อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเปิดตัว ‘AI Mode’ ที่คล้ายกับ ChatGPT ให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ทุกคนได้ใช้งานเมื่อเดือนพฤษภาคม และเริ่มแทรกโฆษณาลงในส่วน AI Overviews ในผลการค้นหา นอกจากนี้ แอปตกแต่งภาพด้วย AI ที่ชื่อว่า Nano Banana ก็กลายเป็นไวรัลฮิตติดลมบนในเดือนสิงหาคม
แต่ระเบิดลูกใหญ่ที่สุดคือการเปิดตัว Gemini 3 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ใช้งานทันที แม้แต่ มาร์ค เบนิอฟฟ์ (Marc Benioff) ซีอีโอของ Salesforce ยังกล่าวว่าเขา “เลิกใช้ ChatGPT” หลังจากได้ลองใช้แอปสำหรับ Gemini 3 โดยโมเดลนี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการและสามารถเอาชนะ GPT-5.1 ได้ในหลายหมวดหมู่
ความนิยมนี้สะท้อนผ่านฐานผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผลสำรวจของ TD Cowen พบว่าอัตราการเจาะตลาดของผู้ใช้งานรายเดือน (MAU) ของ Gemini เติบโตเร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม โดย Gemini ขยับจาก 24% ขึ้นมาเป็น 26% ในขณะที่ ChatGPT ลดลงจาก 36% เหลือ 35% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ข้อมูลจาก Sensor Tower ยังระบุว่า ยอดผู้ใช้งานรายเดือนทั่วโลกของ Gemini เติบโตขึ้น 30% ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม ส่วนหนึ่งเป็นอานิสงส์จากแอป Nano Banana ในขณะที่ ChatGPT เติบโตราว 15% นอกจากนี้ ข้อได้เปรียบสำคัญของ Gemini คือการที่มีให้ใช้งานบนอุปกรณ์ Android รุ่นใหม่ทั้งหมด ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าคู่แข่งมาก
นอกเหนือจากเรื่อง AI แล้ว ปี 2025 ยังมีเรื่องดีๆ ในด้านกฎหมายสำหรับ Google แม้บริษัทจะแพ้คดีผูกขาดทางการค้าครั้งที่สองในเดือนเมษายนเกี่ยวกับธุรกิจโฆษณาออนไลน์ แต่ในเดือนกันยายน ผู้พิพากษาตัดสิน ‘ไม่บังคับ’ ให้ Google ต้องขายเบราว์เซอร์ Chrome แม้จะพบว่าบริษัทผูกขาดตลาดการค้นหาก็ตาม
ที่สำคัญ ผู้พิพากษายังอนุญาตให้ Google จ่ายเงินแก่พันธมิตรเพื่อติดตั้งหรือวางตำแหน่ง Google Search, Chrome หรือผลิตภัณฑ์ GenAI ได้ต่อไป นั่นหมายความว่าบริษัทสามารถจ่ายเงินให้กับ Apple ในมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 6.33 แสนล้านบาท) เพื่อรักษาตำแหน่งเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบน iPhone ได้ดังเดิม
ปิดท้ายด้วยความคืบหน้าของ Waymo ธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับที่ขยายพื้นที่ให้บริการไปยังเมืองใหม่ๆ เช่น ไมอามี, ดัลลัส และฮิวสตัน พร้อมเริ่มให้บริการบนทางด่วนรอบเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโกและลอสแอนเจลิส รวมถึงการโชว์ตัวอย่างแว่นตาอัจฉริยะและชุดหูฟัง VR รุ่นใหม่ของ Samsung ที่ใช้ซอฟต์แวร์ Android XR ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Google ทั้งหมดนี้คือสัญญาณบวกที่ปูทางไปสู่ปี 2026 ที่น่าจับตามองของยักษ์ใหญ่รายนี้
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 31.66 บาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2568
ภาพ : Koshiro K / Shutterstock
อ้างอิง:


