วันนี้ (29 ธันวาคม) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์ล่าสุดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานด่วนจากกองทัพภาคที่ 2 ถึงเหตุการณ์ความสูญเสียจากการปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคง แม้สถานการณ์ภาพรวมจะเริ่มเข้าสู่โหมดการเจรจา แต่ยังคงมีภัยคุกคามตกค้างในพื้นที่
พลตรี วินธัย กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะที่ชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดจาก กองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 กำลังปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนและเคลียร์พื้นที่บริเวณ เขาสัตตะโสม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อความปลอดภัย ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ส่งผลให้ จ่าสิบเอก สุจินต์ จิตกรียาน ได้รับบาดเจ็บสาหัส แรงระเบิดทำให้สูญเสียขาข้างซ้ายและมีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณดวงตาข้างซ้าย โดยเจ้าหน้าที่ชุดพยาบาลสนามได้เร่งปฐมพยาบาลและส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ล่าสุดถึงมือแพทย์แล้ว
โฆษกกองทัพบก ระบุว่า จากการตรวจสอบพื้นที่และการประเมินสถานการณ์ คาดว่ายังมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลักลอบนำมาวางดักไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ยุทธวิธีที่ฝ่ายไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่ไว้ก่อนมีการประกาศหยุดยิง ซึ่งทำให้ภารกิจการเก็บกู้ของเจ้าหน้าที่ทหารช่างเป็นไปด้วยความยากลำบากและมีความเสี่ยงสูง
“กองทัพบกขอยืนยันว่า เหตุการณ์นี้มีพยานหลักฐานชัดเจนที่บ่งชี้ว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง” พลตรี วินธัย กล่าว
ทั้งนี้ กองทัพบกไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียด เพื่อดำเนินการใน 2 ช่องทางหลักทางทูตและการทหาร คือ:
1. ส่งข้อมูลให้กระทรวงการต่างประเทศ: เพื่อนำไปชี้แจงต่อประชาคมโลก ถึงการที่กัมพูชาละเมิดพันธกรณีภายใต้ อนุสัญญาออตตาวา (Convention on the Prohibition of the Use, Stockpiling, Production and Transfer of Anti-Personnel Mines and on their Destruction) ซึ่งว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
2. รายงานต่อคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT): เพื่อให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานกลางเข้าตรวจสอบและพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง ว่ามีการละเมิดข้อตกลงและคุกคามสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่ตามกรอบการหยุดยิง
กองทัพบกย้ำว่า การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกไม่อาจยอมรับได้ และไทยจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายระหว่างประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อปกป้องกำลังพลและอธิปไตยของชาติ


