×

เจาะเกมอำนาจ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ฝ่าฝันอันเหลือเชื่อ นายกฯ 96 วัน สู่ความหวังนายกฯ 4 ปี?

26.12.2025
  • LOADING...
nutin-charnvirakul-32nd-prime-minister-of-thailand

ในปี 2568 ชื่อของ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นักการเมืองวัยใกล้เกษียณ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ว่าเขาคือ นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย

 

อนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรี แถลงครั้งแรกภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ รัฐบาลจะทำงานไม่มีวันหยุด เดินแก้ภัย 4 ด้านใน 4 เดือน ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินและประชาชนคนไทย ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

อนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรี แถลงครั้งแรกภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ 

รัฐบาลจะทำงานไม่มีวันหยุด เดินแก้ภัย 4 ด้านใน 4 เดือน ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินและประชาชนคนไทย

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร 

 

แม้พรรคภูมิใจไทยจะไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง แต่อนุทินก็สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำรัฐบาลได้ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองเฉพาะหน้า ซึ่งสะท้อนบทบาทของพรรคขนาดกลางที่กลายเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ในเกมอำนาจ

 

ย้อนกลับไปตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 อนุทินประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า พร้อมก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ในเวลานั้นความฝันดังกล่าวจะถูกมองว่าไกลเกินเอื้อม ด้วยสถานะของภูมิใจไทยหลังการเลือกตั้งใน 2566 ที่ยังเป็นเพียงพรรคขนาดกลาง และมีจำนวน สส.ไม่ถึง 1 ใน 5 ของสภาผู้แทนราษฎร

 

อนุทิน ยกมือขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังได้รับเสียงข้างมากโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี ไชยชนก ชิดชอบ บุตรชายคนโตเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่แห่งภูมิใจไทยอยู่ด้วย ภาพ : ศวิตา พูลเสถียร

อนุทิน ยกมือขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 

หลังได้รับเสียงข้างมากโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี

โดยมี ไชยชนก ชิดชอบ บุตรชายคนโตเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่แห่งภูมิใจไทยอยู่ด้วย 

ภาพ : ศวิตา พูลเสถียร

 

ทว่าในปี 2568 ความฝันที่เคยถูกมองว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ กลับกลายฝันที่เป็นจริง เมื่ออนุทินถูกโหวตให้ดำรงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กันยายน ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Agreement: MOA) 4 ข้อระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย โดยปฏิบัติหน้าที่ได้เพียง 96 วัน ก่อนประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568

 

และความฝันบทต่อไปของอนุทิน คือ การหวนคืนสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีบนตึกไทยคู่ฟ้าอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพียงชั่วคราว หากแต่เป็นการครองอำนาจยาวและครบวาระ 4 ปี ผ่านยุทธศาสตร์การรวบรวมกลุ่มการเมืองบ้านใหญ่ทั่วราชอาณาจักร มุ่งหน้าสู่ ‘ปราสาทสายฟ้า’ บุรีรัมย์มหานคร ในฐานะศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทย

 

อนุทิน พร้อมด้วยรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขา กำลังเดินทางเข้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์บัญชาการการเมืองไทย ภาพ: ฐานิส สุดโต

อนุทิน พร้อมด้วยรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขา

กำลังเดินทางเข้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์บัญชาการการเมืองไทย

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

หากไล่เช็กลิสต์กลุ่มการเมืองบ้านใหญ่ และนักการเมืองชื่อดัง ผู้แทนหลายสมัย ที่พรรคภูมิใจไทยสามารถดึงเข้ามาอยู่ในชายคาเดียวกัน เพื่อเตรียมรับศึกเลือกตั้งในครั้งหน้านี้ จะเห็นภาพการจัดทัพอย่างเป็นระบบ

 

ไม่ใช่เพียงการเสริมกำลังเฉพาะจุด หากแต่เป็นความพยายามสร้างเครือข่ายอำนาจทางการเมืองในระดับจังหวัดและระดับภูมิภาค ครอบคลุมทั่วราชอาณาจักร ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้

 

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย

อนุทินโพสต์ภาพแสดงความยินดีเครือข่ายสีน้ำเงิน 

‘อทิตาธร วันไชยธนวงศ์’ คว้าชัยนายก อบจ.เชียงราย

นำทีมงานแวะมาสวัสดีปีใหม่-ตรุษจีน ถึงกระทรวงมหาดไทย

ภาพ: Anutin Charnvirakul/Facebook

 

ประเดิมด้วยพื้นที่ภาคเหนือ แม้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ส่วนใหญ่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลจะเป็นผู้ที่คว้าชัยได้มากกว่า แต่รอบนี้ภูมิใจไทยก็สู้ไม่ถอย รวบรวมกลุ่มบ้านใหญ่ อดีต สส. รวม 9 จังหวัด เช่น เชียงราย มีตระกูลวันไชยธนวงศ์ครอบคลุมเครือข่ายนายกฯ อบจ.อย่างเหนียวแน่น ส่วนแม่ฮ่องสอน สมบัติ ยะสินธุ์ อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ตัดสินใจย้ายค่ายมาลงสนามในนามพรรคภูมิใจไทย

 

ส่วนลำปาง มีตระกูลจันทรสุรินทร์ นำโดย นิพิจ จันทรสุรินทร์ อดีต สส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย นักการเมืองอาวุโสที่กลับมาพร้อมกำลังเสริม ทั้ง สจ.ลำพูน 5 คน และผู้สมัคร สส.ลำปางอีก 4 คน ปิดท้ายภาคเหนือที่ พิษณุโลก มี จุติ ไกรฤกษ์ อดีตรัฐมนตรีและ สส.หลายสมัย ที่จัดทัพลงครบทั้ง 5 เขต 

 

ชาดา ไทยเศรษฐ์ เจ้าพ่อลุ่มน้ำสะแกรัง แห่งอุทัยธานี ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

ชาดา ไทยเศรษฐ์ เจ้าพ่อลุ่มน้ำสะแกรัง แห่งอุทัยธานี

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

ขณะที่ภาคกลาง 21 จังหวัด เป็นอีกสมรภูมิการเมืองที่เต็มไปด้วยตระกูลการเมืองเก่าแก่ เริ่มที่เพชรบูรณ์ มีทั้งตระกูลพร้อมพัฒน์ และตระกูลทองใจสด ที่ยึดโยงกับเครือข่ายนายกฯ อบจ. ตามด้วยพิจิตร ยังคงเป็นพื้นที่ของตระกูลภัทรประสิทธิ์ และตระกูลขจรประศาสน์, ลพบุรี อยู่ในมือของตระกูลจิระพันธุ์วาณิช, อุทัยธานี ตระกูลไทยเศรษฐ์ นำโดย ชาดา ยังคุมเกมการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติได้อย่างเข้มแข็ง

 

รวมถึง สิงห์บุรี ตระกูลธนาคมานุสรณ์ โดย ธนาโชติ สส.หลายสมัย แม้พี่ชายอย่าง ชัยวุฒิ จะเพิ่งเปิดพรรคใหม่ ‘พรรครักชาติ’ แต่ศึกเลือกตั้งปี 2569 นี้ ก็ขอเลือกลงสนามในนามพรรคภูมิใจไทย ส่วนอ่างทอง ก็มีตระกูลปริศนานันทกุล ที่ครองพื้นที่มาอย่างยาวนาน, พระนครศรีอยุธยา มีตระกูลพันธุ์เจริญวรกุล ที่มีแรงหนุนด้วยเครือข่ายนายกฯ อบจ.

 

วราวุธ นำทีมอดีตคนชาติไทยพัฒนา ขมากราบลา ‘เตี่ยบรรหาร’ ทิ้งพรรคสีชมพูชั่วคราว ร่วมพรรคสีน้ำเงิน

วราวุธ นำทีมอดีตคนชาติไทยพัฒนา 

ขมากราบลา ‘เตี่ยบรรหาร’ ทิ้งพรรคสีชมพูชั่วคราว ร่วมพรรคสีน้ำเงิน

 

แน่นอนที่สุด ไฮไลต์อยู่เมืองบรรหารบุรี (สุพรรณบุรี) 2 ตระกูลใหญ่ ‘ศิลปอาชา’ และ ‘โพธสุธน’ ต้องขมากราบลา ‘เตี่ยบรรหาร’ ขอทิ้งพรรคชาติไทยพัฒนาชั่วคราว หันมาลงเลือกตั้งในนามพรรคภูมิใจไทย โดยให้เหตุผลว่าพรรคเล็กมีพื้นที่ทำงานค่อนข้างจำกัด และอย่าสนว่าใส่เสื้อสีอะไร เชื่อว่าจะทำงานให้ประชาชนได้อย่างแน่นอน ส่วน นครนายก ก็มีตระกูลบุญมา 

 

ขณะที่ ปทุมธานี รวมพลังทุกขั้วการเมือง ทั้งชาญ พวงเพ็ชร์ และเครือข่าย พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกฯ อบจ. และเสริมทัพด้วยตระกูลหลีนวรัตน์ จากธัญบุรี, นครปฐม ก็ได้ตระกูลสะสมทรัพย์มาร่วมด้วย ปิดท้ายด้วยสระบุรี ก็มี เม้ง-วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ อดีตแชมป์เก่า ที่ยังคงมีบทบาทบนกระดานการเมือง

 

ส่วนภาคอีสาน 19 จังหวัด นครพนม มีตระกูลโพธิ์สุ, ยโสธร มีสุภาพร สลับสี อดีต สส.งูเห่า พรรคไทยสร้างไทย รอบนี้เปิดหน้าลงในนามพรรคภูมิใจไทย, สกลนคร ก็ได้ตัว ชัยมงคล ไชยรบ อดีต สส. พรรคพลังประชารัฐ, อุดรธานี ได้ อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ อดีต สส. พรรคไทยสร้างไทย, หนองบัวลำภู และบึงกาฬ มีตระกูลทองศรีเป็นเจ้าของพื้นที่, เลย มีตระกูลทิมสุวรรณและเครือข่ายอบจ., กาฬสินธุ์ มีกำนันหิต-ประเสริฐ บุญเรือง อดีต สส.กาฬสินธุ์ 8 สมัย ทิ้งเพื่อไทยมาร่วมภูมิใจไทย แต่เลือกตั้งรอบนี้จะส่งลูกสาวลงสนามแทน

 

สรัสนันท์ อรรณนพพร และสุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ 2 อดีตสส.จากพรรคเพื่อไทย ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

สรัสนันท์ อรรณนพพร และสุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ 

2 อดีตสส.จากพรรคเพื่อไทย

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

ส่วนขอนแก่น ตระกูลอรรณนพพร ยอมทิ้งพรรคเพื่อไทยมาอยู่พรรคสีน้ำเงิน, มหาสารคาม มีเครือข่ายคมคาย อุดรพิมพ์ อดีตนายกฯ อบจ.มหาสารคาม 2 สมัย, อำนาจเจริญ มีเจ๊รวย-ศุขสมรวย ตระกูลวันทนียกุล, ร้อยเอ็ด มีตระกูลจุรีมาศ และตระกูลนาเมืองรักษ์, ส่วนชัยภูมิ มีตระกูลแทนทรัพย์ ตระกูลเร่งไพบูลย์วงศ์, นครราชสีมา ก้าวข้ามความขัดแย้งรวมพลังทลายทุกสีเสื้อ มีตระกูลปัทมะ, ตระกูลสุวรรณฉวี และตระกูลรัตนเศรษฐ์

 

ในงานวันเกิด 67 ปี ครูใหญ่เนวิน ที่สนามช้างบุรีรัมย์ อวยพรอนุทินเป็นนายกฯอีก 4 ปี ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

ในงานวันเกิด 67 ปี ครูใหญ่เนวิน ที่สนามช้างบุรีรัมย์

อวยพรอนุทินเป็นนายกฯอีก 4 ปี

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

ส่วนบุรีรัมย์ เมืองหลวงภูมิใจไทย มีเครือข่ายครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ ทั้ง ซารัมย์, ทองศรี และเครือข่ายนายกฯ อบจ., สุรินทร์ มีตระกูลเจริญพันธุ์, มุ่งเจริญพร และเครือข่ายนายกฯ อบจ., ศรีสะเกษ มีตระกูลไตรณกุลของเลขากวาง ไตรศุลี ไตรสรณกุล ที่มีเครือข่ายนายกฯ อบจ. รอบนี้ส่ง ชิตพล ไตรสรณกุล ลงสมัครเลือกตั้งด้วย นอกจากนี้ก็มีตระกูลอังคสกุลเกียรติ และอีก 2 อดีต สส. ทั้ง อาสพลธ์ สรรณ์ไตรภพ และธนา กิจไพบูลย์ชัย ส่วนอุบลราชธานี มีตระกูลสมชัย และเสริมทัพด้วย ตระกูลพิทักษ์พรพัลลภ จากพรรคเพื่อไทย ปิดท้ายด้วย มุกดาหาร ได้ วิริยะ ทองผา อดีต สส. พลังประชารัฐมาเพิ่ม 

 

ส่วน 3 จังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันตก ในพื้นที่ตาก คว้าตัว ทวี เกื้อกูลกิจ อดีต สส. พลังประชารัฐมาเพิ่ม ส่วนกาญจนบุรี เดิมมีแค่ ยศวัฒน์ มาไพศาลสิน คนเดียว รอบนี้เสริมทีมด้วย ศักดิ์ดา และวิสุดา 2 พ่อลูกตระกูลวิเชียรศิลป์ ขณะที่ราชบุรี ได้ตระกูลวงศ์พิทักษ์โรจน์ และนพอมรบดีมาเพิ่ม เช่นเดียวกับเพชรบุรี ที่ได้บ้านใหญ่อังกินันทน์ มาเสริมทัพ

 

ขณะที่ 4 จังหวัดภาคตะวันออก อย่างปราจีนบุรี ตระกูลวิลาวัลย์ยังอยู่, ฉะเชิงเทรา มีตระกูลเป้าเปี่ยมทรัพย์, ชลบุรี รวมพลังตระกูลคุณปลื้ม และเครือข่ายท้องถิ่นของสุชาติ ชมกลิ่น ส่วนระยอง ได้ ปิยะ ปิตุเตชะ นายกฯ อบจ.ระยอง มาเสริมทัพ

 

ส่วน 11 จังหวัดดินแดนขวานทอง เริ่มที่ ชุมพร ตระกูลจุลใสยอมทิ้งพรรคลุงตู่ ขนเครือข่ายมาอยู่กับครูใหญ่, ระนอง มีคงกฤษ ฉัตรมาลีรัตน์ นักการเมืองท้องถิ่นชื่อคุ้น ที่ยังรักษาฐานเสียงไว้, สุราษฎร์ธานี ได้เครือข่ายตระกูลกาญจนะ ตระกูลใหญ่ที่ครองการเมืองหลายยุคหลายสมัยมาเพิ่ม

 

พิพัฒน์ รัชกิจประการ ผู้นำทัพภาคใต้ และพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตสส. หลายสมัย จากนครศรีธรรมราช ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

พิพัฒน์ รัชกิจประการ ผู้นำทัพภาคใต้ และพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตสส. หลายสมัย จากนครศรีธรรมราช

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

ส่วนนครศรีธรรมราช ได้ พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล และอดีต สส. 5 คน ที่ขยับมาอยู่ในค่ายภูมิใจไทย อีกทั้งยังมีเครือข่ายนายกฯ อบจ., กระบี่ ตระกูลกิตติธรกุล และเครือข่ายการเมืองยังเหนียวแน่น, พังงา มีตระกูลอรรถพล ไชยศรี, โกชัย ฉกาจ ที่ยังคงมีบทบาทในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ พัทลุง นาที รัชกิจประการ แม่ทัพภาคใต้ ปิดดีลตระกูลขำนุรักษ์ แชมป์เก่า โดยเลือกตั้งรอบนี้ให้ขำนุรักษ์ย้ายไปลงปาร์ตี้ลิสต์, ตรัง ได้ตระกูลโล่สถาพรพิพิธ มาร่วมทัพ 

 

ส่วน ปัตตานี มีเครือข่ายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกฯ อบจ. ขณะที่ สงขลา รวมกลุ่มการเมืองหลายขั้ว ทั้งตระกูลพลายด้วง, ศาสตรา ศรีปาน, ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ และตระกูลบุญญามณี ที่ต่างมีฐานเสียงและเครือข่ายของตนเอง ยังมีเครือข่ายนายกฯ อบจ. อีกด้วย ปิดท้ายที่ สตูล มีตระกูลรัชกิจประการ และตระกูลเลียงประสิทธิ์ ซึ่งมีเครือข่ายนายกฯ อบจ.

 

อนุทินนำแถลงนโยบายภูมิใจไทย ‘พูดแล้วทำ พลัส’ ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

อนุทินนำแถลงนโยบายภูมิใจไทย ‘พูดแล้วทำ พลัส’

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

นอกเหนือจากการรวบรวมเครือข่ายบ้านใหญ่ ตระกูลการเมือง และอดีตผู้แทนหลายสมัย พรรคภูมิใจไทยยังเดินเกมคู่ขนานผ่านการเตรียมนโยบายหาเสียงอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างจุดขายทางการเมืองควบคู่ไปกับการขยายฐานอำนาจในพื้นที่ โดยเฉพาะการทยอยเปิดนโยบายและการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา ภายใต้สโลแกน ‘ภูมิใจไทย พูดแล้วทำ พลัส’ 

 

การแถลงครั้งนี้สะท้อนการเปิดเกมเลือกตั้งอย่างจริงจังของพรรคภูมิใจไทย ไม่เพียงนำเสนอนโยบาย แต่ยังวางโครงสร้างฝ่ายบริหารล่วงหน้า โดยวางตัว อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นแคนดิเดตเหมือนเดิม แต่เพิ่ม สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอีกคน

 

อนุทินประกาศหากพรรคภูมิใจไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาล สีหศักดิ์ เอกนิติ และศุภจี จะได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

อนุทินประกาศหากพรรคภูมิใจไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาล 

สีหศักดิ์ เอกนิติ และศุภจี จะได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี 

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

พร้อมกำหนดบทบาทเชิงนโยบายอย่างชัดเจน มอบหมายให้ สีหศักดิ์ รับผิดชอบด้านการต่างประเทศ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศ ขณะที่รายชื่อแคนดิเดตซึ่งเปิดตัวมาก่อนหน้านี้ ได้แก่ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ คุมการคลังของแผ่นดิน ดูวินัยการเงินการคลัง ดูค่าเงินบาท และนโยบายทางเศรษฐกิจ ส่วน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ดูแลด้านการค้า พาณิชย์ และอุตสาหกรรม

 

พร้อมประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาล บุคคลทั้ง 3 นี้จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย

 

“อย่ากลัวเสียอธิปไตยของประเทศ พรรคภูมิใจไทยจะทำให้ความหวาดระแวง ความกลัวของท่าน เปลี่ยนมาเป็นความมั่นคง มั่งคั่ง และเชื่อมั่น” อนุทินกล่าว ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

“อย่ากลัวเสียอธิปไตยของประเทศ พรรคภูมิใจไทยจะทำให้ความหวาดระแวง ความกลัวของท่าน เปลี่ยนมาเป็นความมั่นคง มั่งคั่ง และเชื่อมั่น” อนุทินกล่าว

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

สำหรับสาระสำคัญของการแถลงนโยบายครั้งนี้ คือการสานต่อนโยบายรัฐบาลในช่วง 96 วันของอนุทิน โดยวางกรอบปัญหาหลักของประเทศไว้ที่ ‘ภัย 4 ด้าน’ ได้แก่ ภัยความมั่นคง ภัยพิบัติ ภัยสังคม และภัยเศรษฐกิจ

 

แม้ในภาพรวมจะดูให้ความสำคัญกับทั้ง 4 ด้านอย่างเท่าเทียมกัน แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป จะเห็นได้ชัดว่าพรรคกำลังฉายภาพการเมืองที่ให้น้ำหนักกับ ‘ความมั่นคงและอธิปไตย’ เป็นแกนหลัก โดยเฉพาะคำกล่าวที่มาพร้อมกับน้ำตาที่ราวกับสั่งได้ว่า “อย่ากลัวเสียอธิปไตย พรรคภูมิใจไทยจะทำให้ความกลัวของท่าน เปลี่ยนมาเป็นความมั่นคง”

 

อนุทิน ก้มกราบศพทหารกล้า ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องชายแดนไทย

อนุทิน ก้มกราบศพทหารกล้า ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องชายแดนไทย 

 

แนวนโยบายดังกล่าวสอดรับกับบรรยากาศทางสังคมในช่วงที่ประชาชนส่วนหนึ่งให้ความสนใจกับสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนเกิดกระแส ‘ชาตินิยมพลัส’ ภูมิใจไทยจึงตอกย้ำนโยบายความเป็นเอกภาพระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพว่าประเทศปลอดจากภัยคุกคาม และเสริมสร้างศักยภาพกองทัพให้เข้มแข็ง

 

พร้อมประกาศนโยบายสร้างรั้วของชาติ เพื่อป้องกันภัยในทุกมิติ ทั้งภัยการทหาร ภัยสงคราม ยาเสพติด ของเถื่อน ตลอดจนการยกระดับศักยภาพรัฐในการรับมืออาชญากรรมรูปแบบใหม่ ทั้งสแกมเมอร์ การพนัน และทุนเทา โดยย้ำจุดยืนว่า พรรคภูมิใจไทยไม่เอาสีเทาทั้งหมด

 

อนุทินนำเสนอนโยบาย เปลี่ยนทหารเกณฑ์เป็นทหารอาสา ร่วมปกป้องราชอาณาจักรไทย ตั้งเป้า 100,000 คน ให้รับราชการ มีเงินเดือน เป็นกำลังพลของกองทัพ ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

อนุทินนำเสนอนโยบาย เปลี่ยนทหารเกณฑ์เป็นทหารอาสา ร่วมปกป้องราชอาณาจักรไทย 

ตั้งเป้า 100,000 คน ให้รับราชการ มีเงินเดือน เป็นกำลังพลของกองทัพ

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

หนึ่งในนโยบายที่สะท้อนกรอบคิดด้านความมั่นคงอย่างชัดเจน คือ การเปิดรับทหารอาสา 100,000 คน แทนระบบทหารเกณฑ์ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ารับใช้ชาติอย่างสมัครใจ มีเส้นทางอาชีพและอนาคตที่ชัดเจน ระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ 4 ปี ได้รับเงินเดือน 12,000 บาทต่อเดือน และเป็นกำลังพลของกองทัพด้วย

 

ขณะที่แหล่งข่าวจากกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ที่ได้เปิดเผยกับ THE STANDARD อีกว่า พรรคยังมีกรอบความคิดในการจัดทำนโยบายปฏิรูปโครงสร้างประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้ของรัฐ ผ่านการดึงคนเข้าสู่ระบบฐานภาษี 

 

พรรคได้หยิบยกเรื่องภาษีขึ้นมาเป็นโจทย์สำคัญ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่อยู่ในระบบภาษีราว 11 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีจริงเพียงประมาณ 4 ล้านคน ขณะที่ประชาชนอีกเกือบ 16 ล้านคน อยู่นอกระบบภาษี และไม่ได้รับสวัสดิการสังคม ช่องว่างดังกล่าวถูกมองว่าเป็นทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง และโอกาสทางนโยบายในเวลาเดียวกัน

 

พรรคภูมิใจไทยจึงตั้งเป้าดึงประชาชนกลุ่มนอกระบบเหล่านี้เข้าสู่ฐานภาษี ด้วยแนวคิดว่า เมื่อเสียภาษีแล้วต้องได้มากกว่าเดิม โดยเสนอสิทธิประโยชน์เพื่อสร้างแรงจูงใจ ควบคู่ไปกับการแก้ไขความรู้สึกไม่เป็นธรรมของผู้เสียภาษีที่มองว่า ตนเองต้องแบกรับภาระ ขณะที่ผู้ไม่เสียภาษีกลับได้รับสวัสดิการจากรัฐไม่ต่างกัน

แน่นอนแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมา คือ การปฏิรูปการเกณฑ์ทหาร โดยเชื่อมโยงกับสถานะของผู้ที่อยู่ในระบบภาษี ซึ่งในเบื้องต้นผู้ที่อยู่ในระบบภาษีอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารแบบเดิม พร้อมผลักดันรูปแบบทหารอาสา มีสัญญาจ้าง พร้อมฝึกฝน พัฒนา ต่อยอดสู่ทหารอาชีพ สอดคล้องกับแนวทางที่อนุทินประกาศไว้ในวันแถลงนโยบาย

 

นอกจากนี้ พรรคยังเสนอแนวคิดการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพจากเดิมที่เป็น ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ ให้ตอบโจทย์ผู้เสียภาษีมากขึ้น ผ่านการเพิ่มทางเลือกด้านบริการ โดยเฉพาะการเปิดคลินิกนอกเวลาในโรงพยาบาลรัฐ ในลักษณะใกล้เคียงโรงพยาบาลเอกชน เพื่อรองรับผู้ที่ต้องการความสะดวก และลดระยะเวลารอคอย

 

ในมิติด้านการศึกษา พรรคภูมิใจไทยเสนอสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรหลานของผู้เสียภาษี เช่น การเพิ่มโควตาหรือโอกาสในการเข้าเรียนโรงเรียนใกล้บ้านได้ง่ายขึ้น เพื่อต่อยอดจากระบบโควตาที่มีอยู่ และสร้างความรู้สึกว่าการเสียภาษีส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของครอบครัว

 

เอกนิติ โชว์แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ‘10 Plus’ พลิกโฉมประเทศไทย GDP โตเกิน 3% ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

เอกนิติ โชว์แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ‘10 Plus’ 

พลิกโฉมประเทศไทย GDP โตเกิน 3%

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากทั้งยุทธศาสตร์ด้านกำลังคน และแนวคิดเชิงนโยบาย จะเห็นได้ว่าพรรคภูมิใจไทยกำลังพยายามยกระดับตัวเองจากพรรคขนาดกลางที่เป็นตัวแปรบนสนามการเมือง สู่การเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่พร้อมบริหารประเทศอย่างเต็มรูปแบบ

 

ในเชิงกำลังคน พรรคเลือกใช้โมเดลการเมืองแบบเครือข่ายบ้านใหญ่และตระกูลการเมืองเป็นแกนหลัก ครอบคลุมแทบทุกภูมิภาคของประเทศ กลยุทธ์นี้ทำให้ภูมิใจไทยมีความได้เปรียบด้านโครงสร้างการเลือกตั้ง มีฐานเสียงในระดับพื้นที่จริง และสามารถระดมทรัพยากรทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว ในทางปฏิบัติ นี่คือรูปแบบที่ยังมีประสิทธิภาพสูงในสนามเลือกตั้งการเมืองไทย

 

ขณะที่ในเชิงนโยบาย พรรคพยายามสลัดภาพพรรคแปรขนาดกลางด้วยการวางกรอบนโยบายที่เป็นระบบมากขึ้น ทำให้ภาพของภูมิใจไทยในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ได้เป็นเพียงพรรคที่เก่งต่อรองอำนาจ แต่คือพรรคที่พยายามเสนอโมเดลการบริหารประเทศแบบเน้นเสถียรภาพ ความมั่นคง และการจัดการเชิงโครงสร้าง โดยใช้ชาตินิยม และเครือข่ายอำนาจท้องถิ่น เป็นเครื่องมือหลัก

 

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 32 ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 32 

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร 

 

อย่างไรก็ตาม นี่ถือความท้าทายครั้งสำคัญของอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย ยังถูกตั้งคำถามอยู่ว่า โมเดลของการอำนาจในลักษณะนี้จะสามารถขยายฐานสนับสนุนจากพรรคการเมืองภูธร สู่คนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเมืองได้มากเพียงใด และนโยบายที่พรรควางไว้จะถูกมองว่าเป็นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงการจัดสรรผลประโยชน์ภายใต้กรอบเดิม 

 

หากพรรคภูมิใจไทยสามารถเปลี่ยนอำนาจต่อรองทางการเมือง ให้กลายเป็นความชอบธรรมทางนโยบายได้สำเร็จ ก็อาจก้าวข้ามบทบาทของผู้เล่นสำคัญ ไปสู่การเป็นผู้ท้าชิงอำนาจตัวจริงในระยะยาว และผลักดันผู้ชายวัยใกล้เกษียณนามว่า ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ จากความฝันที่เคยถูกมองว่าไกลเกินเอื้อม สู่การเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 อย่างเต็มภาคภูมิ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising