วันนี้ (26 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า มีมติให้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่จังหวัดจันทบุรีในวันที่ 27 ธันวาคม และวันนี้มีการประชุม ครม.ตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ระเบียบราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 จึงทำให้การประชุมวันนี้มีความสมบูรณ์เท่ากับการไปเจรจากับกัมพูชาของ พล.อ.ณัฐพล มีความสมบูรณ์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อข้อตกลงหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า เปลี่ยนจาก Joint Declaration แถลงการณ์ร่วมเป็น Joint Statement ข้อตกลงเบื้องต้น แต่ยังอยู่ในกรอบเดิมที่ได้ตกลงกันไว้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และไทยไม่เคยหลุดจากกรอบ ยึดตามแนวปฏิบัติ 4 ข้อหลัก ได้แก่ ถอนกำลัง ถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิด บริหารจัดการพื้นที่อ้างสิทธิ์ ปราบสแกมเมอร์ ส่วนจะเรียกอะไรไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ เราต้องรักษาสัญญากันว่าจะไม่มีการคุกคาม รุกราน ยั่วยุ และลดความเป็นภัยของทั้ง 2 ประเทศลง
ฉะนั้นถ้าวันที่ 27 ธันวาคม พล.อ.ณัฐพล บรรลุข้อตกลงทำให้ไทย และกัมพูชายอมรับกันได้ ส่วนที่ท่านลงนามก็อยู่กรอบหลักๆ ทั้ง 4 ข้อ และหากเป็นไปตามที่ พล.อ.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยรายงานมา ถ้าเป็นแบบที่ท่านว่าจริงๆ ก็น่าจะหาข้อยุติที่ดี ที่ทำให้ประเทศไทยยังดำรงอธิปไตยและสถาปนาบูรณภาพในดินแดน ตามเป้าหมายของกองทัพที่กำหนดไว้ได้ครบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุม สมช. มีมติหรือไม่ว่า Joint Declaration ที่เราแขวนไว้ ให้กลับมาหลังจากที่ประชุมจีบีซีลงมติกันเรียบร้อยแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราไม่ได้ระบุไว้ว่า เราแขวน แต่เราบอกว่า ถ้าเป็นแบบนี้เราระงับ และถ้าในวันพรุ่งนี้ณัฐพล บรรลุข้อตกลงก็จะเป็น Joint Statement ข้อตกลงเบื้องต้นในถ้อยแถลงเป็นไปตามกรอบ 4 ข้อ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงข้อตกลงหยุดยิง 72 ชั่วโมง ภายหลังการเซ็น Joint Statement เบื้องต้นทางฝ่ายไทยรับได้หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า อันนี้เป็นข้อกำหนดที่ไทยให้กัมพูชาตอบรับ ถ้าทำได้เราจะพิจารณาปล่อยเชลยศึก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไทยจะไว้ใจกัมพูชาได้แค่ไหน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อม เราไปบังคับให้ใครรักษาสัญญาไม่ได้ เราเซ็นมากี่รอบแล้ว แต่วันนี้เราต้องถามว่าประเทศไทยได้สิ่งที่ต้องการเบื้องต้นแล้วหรือยัง เป้าหมายทางการทหาร เป้าหมายการประกาศบูรณภาพแห่งดินแดน ฝ่ายกองทัพได้รายงานทั้งนายกฯ และที่ประชุม สมช.ว่าบรรลุเป้าหมาย
ดังนั้นถ้าเราควบคุมดินแดนต่างๆที่เคยไม่ใช่ของเราได้ เราก็สามารถที่จะคุยกับกัมพูชาได้ ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ที่เรายังไม่ได้อะไร พูดไปเขาก็ไม่ยอมรับ พอปะทะกันมีความขัดแย้งหนัก ก็ใช้กำลังกัน แต่ครั้งนี้ก็ไม่น่าจะมี เพราะ Joint Statement ที่ร่างมา ตนได้ถามย้ำว่า ฝ่ายกัมพูชาได้เห็นและยอมรับแล้ว และตรวจทานแล้วหรือไม่ ซึ่งทางรองเลขาธิการทหารฯ บอกว่า เป็นรายงานล่าสุดว่าเห็นตรงกัน เท่ากับนับจากวันนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่นับกลับไปช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่เป็นสถานะจากวันนี้เป็นต้นไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้เห็นชอบกับแถลงร่วมนี้หรือยัง อนุทิน กล่าวว่า นี่เป็นการพูดคุยในระดับตัวแทนของรัฐบาล ตนไม่ทราบว่า ความเห็นชอบนี้มาจากไหน แต่ถ้ามีในวันพรุ่งนี้ถือว่าเป็นการลงนามที่เห็นชอบโดยตัวแทนรัฐบาล ยืนยันไว้ใจประเทศไทยได้แน่นอน เพราะประเทศไทยรักษาข้อตกลง และเงื่อนไขได้เสมอ
ขอให้ครั้งนี้เป็นการลงนามครั้งสุดท้าย จะได้เกิดสันติภาพในพื้นที่ ประชาชนจะได้กลับบ้านของตนเอง และหวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมีความคิดเช่นเดียวกับตน ส่วนจะทันปีใหม่หรือไม่นั้น หากมีการลงนามในวันพรุ่งนี้ก็ทัน ต้องให้กำลังใจกัน และทำให้เห็นว่าเราก็มีความพร้อม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากในข้อตกลงหยุดยิงใน 72 ชั่วโมงมีทหาร เหยียบทุ่นระเบิดหรือมีการยิงก่อกวน จะถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง และกระทบต่อแถลงการณ์ร่วมหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ในด้านการต่อสู้ กองทัพ ต้องรักษาอธิปไตยและดินแดน ส่วนการเจรจาก็เจรจาไปแต่ในวันนี้ จนกว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงแล้ว ก็มีไทม์ไลน์ของมันอยู่หากมีการเซ็นกันแล้ว อย่างที่ตอนแรกระบุว่า เมื่อมีการเซ็นแล้วภายใน 6 ชั่วโมงต้องมีการหยุดยิง ตนไม่ยอม หากมีการเซ็นแล้วต้องหยุดยิง ณ วินาทีนั้น ต่างฝ่ายต้องหันไปสั่งการดำเนินการทันที เราต้องเริ่มจากจุดนี้ก่อน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมได้มีการพูดคุยว่าจะให้คำมั่นหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า เมื่อกี้ตอบไปแล้ว ยืนยันว่าไทยจะไม่มีการละเมิด และวันนี้ไทยจะไม่มีการข้ามแดน ในพื้นที่ที่มีการสถาปนาเราก็ต้องมีความระมัดระวัง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เราจะสามารถเชื่อในตัวกัมพูชาได้หรือไม่ อนุทินหัวเราะ และไม่ได้ตอบคำถามอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าด้วยว่า ทวิภาคีระหว่างสองประเทศครั้งนี้ จะขลังพอที่จะทำให้กัมพูชาไม่ละเมิดหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า เราก็เห็นว่าเขาก็มาเจรจาขอให้หยุดยิง ขณะนี้เป็นเรื่องของการทูต เราก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของคำพูดและสถานะ เรารู้สถานะของเราแล้วว่าเราได้บรรลุวัตถุประสงค์ในสิ่งที่เราต้องการ ถามว่าเราต้องออกตีฆ้องร้องป่าว ต้องเฉลิมฉลองหรือไม่ ตนคิดว่าไม่ แต่ให้เขาได้รับทราบว่าหากไม่พอใจก็จะเกิดการสู้รบ และเสียหายกันอีก ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่หากมารุกรานคุกคามประเทศไทย ก็พร้อมที่จะตอบโต้ เราต้องบอกให้โลกรู้ด้วยว่า ถึงเวลาก็เป็นประเทศไทยที่มีเหตุและมีผล
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ได้มีการพูดคุยกับฮุน มาเนตหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า ได้คุยแต่วันนั้น แต่การปะทะระลอกล่าสุดไม่ได้มีการพูดคุย เพราะเป็นไปตามข้อตกลงที่พูดคุย ที่พยายามจะทำให้เกิดขึ้นตามปฏิญญา เมื่อมีการระงับขึ้นมาไทยก็ต้องมีการพูดคุยกันใหม่ ตนไม่ได้คุยแต่คณะที่ตั้งขึ้นตามหลักทวิภาคี ก็พูดคุยกันอยู่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าใน 72 ชั่วโมง หากมีการยิงกันเกิดขึ้นเราสามารถตอบโต้ได้ใช่หรือไม่ และทุกอย่างจะหยุดลงใช่หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า แน่นอน เราใช้หลัก Rule of Engage กฎแห่งการปะทะ ซึ่งเป็นกฎกติกาที่ไทย ใช้ดำเนินการ ดังนั้นมีกลไกหากเราถูกเบรก ก็สามารถปกป้องอธิปไตยของเราได้ รวมถึงดินแดนของเราด้วย ประชาชนไม่ต้องกังวลเลย ยืนยันไทยพร้อมรักษาอธิปไตย


