ไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีสำหรับภาคธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากเป็นฤดูกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่มีเทศกาลสำคัญเรียงรายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่อง ลากยาวไปจนถึงช่วงเวลาไฮไลต์สำคัญที่สุดอย่างงานเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินสะพัดสูงสุดและมีการแข่งขันทางการตลาดอย่างดุเดือดเพื่อช่วงชิงกำลังซื้อของผู้บริโภค
CPN หรือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ในภาคค้าปลีกจึงเดินหน้าอัดฉีดงบประมาณกว่า 500 ล้านบาท เพื่อใช้แคมเปญช่วงเทศกาลปีใหม่และงานเคานต์ดาวน์พร้อมกันใน 13 ศูนย์การค้าทั่วประเทศ ซึ่งประเมินว่า การจัดงานในปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมงานหมุนเวียนกว่า 1.5 ล้านคน และคาดว่าจะสร้างการรับรู้ผ่านช่องทางต่างๆ ทั่วโลกกว่า 50 ล้านวิว
สำหรับไฮไลต์สำคัญของการจัดงานในปีนี้ยังคงอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้ชื่องาน ‘centralwOrld Bangkok Countdown 2026 The Original’ ซึ่งถือเป็นไทม์สแควร์แห่งเอเชีย โดยปีนี้ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอด้วยการผสมผสานพลุแบบซิตี้สเคปที่ยาวที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ร่วมกับการแสดงโดรนแปรอักษรเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่
“เซ็นทรัลเวิลด์เป็นสถานที่จัดเคานต์ดาวน์ที่ติด Top 5 ของโลกอยู่แล้ว” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ระบุพร้อมอธิบายว่า ขณะที่ทั่วโลกอาจมีการจัดคอนเสิร์ต แต่ไม่ยาวนานเท่าของเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนใหญ่จะเน้นในช่วงสั้นๆ หรือการจุดพลุเท่านั้น
แต่ที่เซ็นทรัลเวิลด์มีกิจกรรมตั้งแต่ 5 โมงเย็นยาวไปถึงช่วงเที่ยวคืนที่นับเวลาล่วงเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่งจุดเด่นของเซ็นทรัลเวิลด์คือการจัดอีเวนต์อยู่กลางเมือง โดยได้สร้างเวทีขนาดใหญ่ รวมถึงมีจอภาพขนาดใหญ่รองรับผู้คนซึ่งคาดว่าปีนี้จะเข้าร่วมกว่า 2.5 แสนคนเฉพาะช่วงวันส่งท้ายปี คาดว่า 70% จะเป็นคนไทยและมีการใช้จ่ายในเซ็นทรัลเวิลด์เพิ่มขึ้น 20-25% ในช่วงที่มีการจัดกิจกรรม
ขณะที่ภาพรวมทราฟฟิกของทั้ง 44 สาขาทั่วประเทศประเมินว่าจะขยายตัวประมาณ 10-15% และดันยอดการจับจ่ายใช้สอยในเดือนธันวาคมให้สูงขึ้นราว 20%
นอกเหนือจากปัจจัยบวกในช่วงเทศกาล ผู้บริหาร CPN ยังประเมินถึงทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้าว่า จะได้รับอานิสงส์จากบรรยากาศการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งตามกลไกปกติจะก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัดมหาศาลหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับความคาดหวังต่อเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาเร่งขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจยังคงต้องจับตามองปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันกำลังซื้อในประเทศ โดยมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐยังคงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในระยะฟื้นตัว เพื่อประคองให้การบริโภคภายในประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีหน้า ดร.ณัฐกิตติ์ ประเมินภาคค้าปลีกอาจจะยังอยู่ในช่วงเสมอตัว แต่สำหรับ CPN จะเติบโตจากการเปิดศูนย์การค้าที่จะเปิดใหม่และรีโนเวทที่ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลนอร์ธวิลล์, เซ็นทรัลขอนแก่นแคมปัส และ ‘The Central’ พหลโยธิน เป็นต้น
ทั้งนี้ CPN ได้วางกลยุทธ์เน้นความคล่องตัวและการปรับตัวที่รวดเร็ว โดยจะมุ่งเน้นการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ผ่านการจัดกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มกีฬา หรือกลุ่มแคมปิ้ง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการที่ศูนย์การค้าบ่อยครั้งขึ้น ลดความจำเจ และสร้างความเคลื่อนไหวให้กับพื้นที่ศูนย์การค้าตลอดเวลา
“เราประสบความสำเร็จคือเรื่องการทำ Experience Marketing ในทุกรูปแบบ ทั้งการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ หรือกิจกรรมต่างๆ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถหาได้จากโลกออนไลน์ ผู้คนจึงต้องออกจากบ้านมาเล่นที่ศูนย์การค้าอยู่” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวทิ้งท้าย


