วิสัยทัศน์ของ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO คนใหม่ ประกาศแผนระยะ 3 ปีจะใช้งบลงทุนประมาณ 90,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ เน้นน้ำหนักโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติควบคู่พลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเพื่อทำดีล M&A และมีแผนในการปรับพอร์ตการลงทุน เดินหน้ากลยุทธ์ Asset Recycling ขายสินทรัพย์ทำกำไรต่อยอดการเติบโต
สมเกียรติ สุทธิวานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยถึงทิศทางการบริหารพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะ Chandra Daya Investasi (CDI Group) บริษัทร่วมทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค โดยเพิ่งเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในอินโดนีเซีย เมื่อช่วงกลางปีนี้ที่ผ่านมา ปัจจุบันสร้างมูลค่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท แซงหน้ามาร์เก็ตแคปของ EGCO ไปแล้ว ทั้งนี้ยอมรับว่า ในอนาคตบริษัทฯ อาจพิจารณาขายทำกำไรบางส่วนหลังหมดช่วง Lock-up แม้นโยบายเดิมจะเน้นถือยาว
สมเกียรติ ระบุต่อว่า การลงทุนใน CDI Group ซึ่ง EGCO ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 30% ถือเป็นการลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้จะเป็นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ซึ่งแตกต่างจากความเชี่ยวชาญเดิมของ EGCO ที่เน้นโรงไฟฟ้า แต่ผลตอบรับหลังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อินโดนีเซียถือว่าดีเยี่ยม
ทั้งนี้จากเงินลงทุนเริ่มต้นใน CDI สมเกียรติระบุว่า ใช้เงินลงไปไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท) ปัจจุบันมูลค่าของ CDI พุ่งขึ้นไปแตะระดับประมาณ 1 แสนล้านบาท หรือเติบโตขึ้นประมาณ 10 เท่าจากต้นทุนเดิม
เมื่อถูกถามถึงนโยบายการขายหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทน สมเกียรติชี้แจงว่า ขณะนี้ยังติดเกณฑ์ห้ามขายหุ้น (Lock-up Period) ทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารกำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเมื่อใกล้หมดระยะเวลา Lock-up จะมีการจัดทำบทวิเคราะห์เพื่อเสนอให้คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ตัดสินใจพิจารณาในช่วงไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 ของปีหน้า
โดยยอมรับว่าเป็นไปได้ที่จะมีการพิจารณขายหุ้น CDI ออกบางส่วนเพื่อสร้างผลตอบแทน (Profit Taking) เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
อย่างไรก็ดีการขายหุ้นอาจทำได้ไม่มากนัก เนื่องจากสภาพคล่อง (Liquidity) ในตลาดหุ้นอินโดนีเซียอาจไม่สูงเท่ากับตลาดหุ้นไทย และ CDI มีสัดส่วนหุ้นหมุนเวียนในตลาด (Free Float) เพียงประมาณ 10-15% เท่านั้น

ภาพ : ข้อมูลธุรกิจที่สำคัญของ Chandra Daya Investasi (CDI Group) บริษัทร่วมทุนของ EGCO
สมเกียรติ ยังย้ำว่า เจตนารมณ์ดั้งเดิมของการลงทุนใน CDI คือการถือลงทุนระยะยาว (Long-term Investment) เพื่อเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตร, และในทางบัญชีปัจจุบันยังบันทึกเป็นเงินลงทุนระยะยาว โดยยังไม่ได้รับรู้กำไรส่วนต่างราคาหุ้นลงในงบการเงิน
อย่างไรก็ตาม ในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่ต้องสร้างผลกำไร การที่มูลค่าสินทรัพย์เติบโตขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้บริษัทต้องกลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ฝ่ายบริหารและทีม Asset Management กำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้ รุก M&A สหรัฐฯ-ตะวันออกกลาง คาดปิดดีลใหญ่ไตรมาส 2/69
ด้าน วิสัยทัศน์ของ ธวัชชัย สำราญวานิช ที่เพิ่งมารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เมื่อเดือนตุลาคมปีนี้ที่ผ่านมา เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์การลงทุนในระหว่างปี 2568-2570 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนรวมไว้ประมาณ 90,000 ล้านบาท โดยแบ่งใช้เฉลี่ยประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี โดยกำหนดสัดส่วนเม็ดเงินลงทุนหลักอยู่ที่โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 80% และพลังงานหมุนเวียน (Renewable) 20% ซึ่งรวมทั้งงบที่จะใช้ในการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A)
สาเหตุที่สัดส่วนเม็ดเงินลงทุนในก๊าซธรรมชาติสูงกว่า เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงและสร้างรายได้หลัก ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนแม้จะใช้เม็ดเงินน้อยกว่า แต่บริษัทมีเป้าหมายชัดเจนที่จะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้ถึง 30% ภายในปี 2573
สำหรับกลยุทธ์การสร้างการเติบโต ธวัชชัยระบุว่าบริษัทมุ่งเน้นทั้งการพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield) และการทำ M&A เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ทันที โดยปัจจุบันมองเห็นโอกาสการลงทุนสูงในสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่นๆ
ทั้งนี้ มีความคืบหน้าในการเจรจาดีล M&A ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งคาดว่าจะทยอยสรุปผลได้ในทุกไตรมาสของปี 2569 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2/2569 คาดว่าจะสามารถปิดดีลโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ได้ประมาณ 2 โครงการ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้และกระแสเงินสดเข้ามาทันทีหากการเจรจาสำเร็จตามแผน

ภาพ : แผนใช้งบลงทุนของ EGCO เพื่อลงทุนขยายธุรกิจในปี 2569
เดินหน้ากลยุทธ์ Asset Recycling หมุนเวียนสินทรัพย์สร้างกำไร
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการบริหารจัดการเงินทุนคือกลยุทธ์ Asset Recycling หรือการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนด้วยการจำหน่ายสินทรัพย์ที่ทำกำไรได้ถึงจุดที่เหมาะสม เพื่อนำเงินทุนกลับมาต่อยอดในโครงการใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงกว่า
ธวัชชัย กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าเป้าหมายที่จะดำเนินการ Asset Recycling จำนวน 2 แห่ง ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าในประเทศ คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปีหน้า มูลค่าเบื้องต้นอยู่ในระดับหลักพันล้านบาท โดยเงินที่ได้จากการจำหน่ายสินทรัพย์จะถูกนำมาเสริมสภาพคล่องและรองรับการลงทุนใหม่ๆ ตามแผนที่วางไว้
อัพเดตพอร์ตลงทุน Quezon ต่อสัญญา-ลุย Data Center ระยอง
ในส่วนของความคืบหน้าโครงการสำคัญ ธวัชชัยระบุว่า โรงไฟฟ้าเคซอน (Quezon) ในฟิลิปปินส์ ได้ดำเนินการต่อสัญญาใหม่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคมปีนี้ที่ผ่านมา ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้กลับเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ และจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2569 เป็นต้นไป แม้ค่าไฟตามสัญญาใหม่จะปรับลดลงบ้าง แต่ถือเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) โดยเฉพาะธุรกิจ Data Center ซึ่งกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโก ระยอง ขนาดประมาณ 600 ไร่ มาพัฒนา โดยมองโมเดลธุรกิจไว้ทั้งการเป็นผู้ให้บริการพื้นที่ และการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าป้อนให้แก่ Data Center โดยตรง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการความมั่นคงทางพลังงานของลูกค้า
สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศ (Big Lot) ที่ชนะการประมูล 4 โครงการ ทั้งพลังงานลมและแสงแดด คาดว่าจะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในช่วงปี 2571-2573 แม้ว่าจะมีการปรับลดราคาค่าไฟฟ้าลงตามนโยบายรัฐ ซึ่งกระทบต่ออัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) เล็กน้อย แต่บริษัทพร้อมสนับสนุนเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
เกาะติดเทรนด์อนาคต ธุรกิจไฮโดรเจน-CCUS-SMR
ธวัชชัย ยังได้กล่าวถึงเทคโนโลยีพลังงานแห่งอนาคต โดยมองว่า ไฮโดรเจน เป็นเรื่องสำคัญ แต่ปัจจัยชี้วัดความสำเร็จคือ ราคาซึ่งต้องแข่งขันได้ ปัจจุบันบริษัทเน้นการศึกษาเทคโนโลยีและหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ
ส่วนเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าในประเทศ เช่น BLCP และขนอม แต่ยังต้องรอความชัดเจนด้านนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้คุ้มค่าต่อการลงทุน ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) นั้น EGCO ติดตามเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะเป็นหน่วยงานหลักในการนำร่องดำเนินการก่อน

ภาพ : ธวัชชัย สำราญวานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO แถลงแผนธุรกิจ ปี 2569
แผนรับมือ ‘บาทแข็งค่า’ ในรอบ 4 ปีครึ่ง ย้ำจุดยืน ‘ปิดความเสี่ยง’
ท่ามกลางสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ธวัชชัย ยอมรับว่า ประเด็นเรื่องค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจของ EGCO Group เนื่องจากโครงสร้างการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนใน ต่างประเทศสูงถึงเกือบ 60% ในขณะที่การลงทุนในประเทศอยู่ที่ประมาณ 40%
ผลกระทบทางตรงที่เกิดขึ้นคือ ในขั้นตอนการนำรายได้ จากกิจการในต่างประเทศกลับเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งต้องเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นย่อมส่งผลให้มูลค่ารายได้ที่แปลงกลับมาเป็นเงินบาทนั้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่เงินบาทอ่อนค่า
เปิดแผนบริหารความเสี่ยง เริ่มตั้งแต่ ‘ก่อน’ ควักกระเป๋าจ่าย
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าบริษัทมีมาตรการรับมือที่รัดกุม โดยแบ่งการบริหารจัดการออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
- EGCO นำปัจจัยเรื่องผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนมาประกอบการตัดสินใจตั้งแต่ก่อนจะเริ่มเข้าไปลงทุนในโครงการใดๆ เพื่อให้มั่นใจว่าความเสี่ยงอยู่ในระดับที่รับได้
- หลังจากตัดสินใจลงทุนแล้ว บริษัทมีกลยุทธ์ในการทำ Hedging เพื่อลดผลกระทบ จากความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งอาจมีทั้งกำไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยทาง CFO และทีมงานมีการวางกลยุทธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงส่วนนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์ทำ M&A ต้อง ‘คุ้มค่า’ จริงถึงจะลงทุน
เมื่อผู้สื่อซักถามว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเช่นนี้ มีผลให้ต้องเร่งปิดดีลการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ในต่างประเทศเร็วขึ้นหรือไม่ ธวัชชัยอธิบายว่า ค่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัวชี้วัด ความคุ้มค่าจากการลงทุน
สิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดคือ ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return) กับผลตอบแทนที่จะได้รับจริง ต้องสอดคล้องกัน หากค่าเงินทำให้สมการนี้เปลี่ยนไป ก็จะมีผลต่อการตัดสินใจ
สำหรับกลยุทธ์การเติบโต EGCO ยังคงมองหาโอกาสทั้งการทำ M&A ซึ่งมีข้อดีคือสามารถรับรู้รายได้และกระแสเงินสดได้ทันที ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield) เช่น การเข้าไปถือหุ้นใน Apex ที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการลงทุนตั้งแต่เริ่มพัฒนาโครงการ


