สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ (Institute for Strategic Policy: ISP) เผยแพร่บทวิเคราะห์ Analysis on the Sustainability of Military Capabilities of Thailand and Cambodia in 2025 ประเมินศักยภาพทางทหารไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่การสู้รบวันที่ 8 ธันวาคม 2025 โดยมองว่า สถานการณ์ดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้น และสร้างความสูญเสียให้กับ 2 ประเทศ ทั้งในด้านกำลังพล ทรัพยากร และค่าใช้จ่าย
คำถามสำคัญจากการประเมินครั้งนี้ คือ รัฐบาลและกองทัพไทย จะสามารถแบกรับสถานการณ์ดังกล่าวได้นานเพียงใด และความขัดแย้งนี้มีแนวโน้มจะยุติลงได้เร็วเพียงใด ซึ่งคาดการณ์ผ่านงบประมาณ และศักยภาพทางทหาร และระบบโลจิสติกส์ของ 2 ประเทศ
เทียบศักยภาพทางทหาร ไทย vs กัมพูชา ใครเหนือกว่าใคร
รายงานฉบับนี้ เปรียบเทียบขีดความสามารถระหว่างไทยและกัมพูชา ผ่านตัวชี้วัดความยั่งยืนทางทหาร (Sustainability Metric) หรือศักยภาพที่ทั้ง 2 ประเทศจะรบได้นานแค่ไหน ใน 4 มิติสำคัญ ได้แก่
1. ความพร้อมด้านเชื้อเพลิง (Fuel Readiness) กระทรวงพลังงานยืนยันว่า ไทยมีปริมาณเชื้อเพลิงสำรอง เพื่อการรบขั้นต่ำ ‘อย่างน้อย 45’ วันสำหรับทุกเหล่าทัพ ในขณะที่กัมพูชาอยู่ในระดับวิกฤต เหลือเชื้อเพลิงสำรอง ‘ประมาณ 14 วัน’ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปิดชายแดนและการปิดกั้นทางทะเลของไทย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา
2. คลังอาวุธและกระสุน (Ammunition Stockpile) ไทยมีกระสุนปืนใหญ่และอาวุธทางอากาศเพียงพอสำหรับการรบ ‘มากกว่า 90 วัน’ โดยมีฐานการผลิตภายในประเทศช่วยสนับสนุน ขณะที่กัมพูชามีคลังอาวุธที่ใช้งานได้อีกราว ‘เพียง 7-14 วัน’ มีอาวุธหนักจำกัด (เช่น จรวด BM-21) และจำเป็นต้องได้รับการเติมคลังอาวุธจากภายนอกหากการรบยืดเยื้อ
3. ความอึดทางเศรษฐกิจ (Economic Depth) หรือความสามารถที่รับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในยามสงคราม ซึ่งพบว่า ไทยมีความอึดทางเศรษฐกิจอยู่ใน ‘ระดับสูง’ มีงบประมาณกลาโหม 5.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย ครม. อนุมัติงบฉุกเฉิน 2.44 พันล้านบาท เพื่อสำรองคลังเสบียงและอาวุธชายแดนเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม
ขณะที่กัมพูชามีความอึดทางเศรษฐกิจอยู่ใน ‘ระดับต่ำ’ มีงบประมาณ 860 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าจำเป็นราว 30% (เช่น น้ำมัน และไฟฟ้า) ที่นำเข้าจากไทยถูกระงับการส่งออก
4. ขีดความสามารถในปฏิบัติการทางทหาร ไทยมีความยั่งยืนจากการครองความได้เปรียบทางอากาศและมีระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยกว่า ในการรองรับการวางกำลังพลและส่งกำลังบำรุงในระยะยาวได้ ขณะที่กัมพูชาอยู่ในภาวะเสี่ยง เนื่องจากเผชิญกับการสูญเสียกำลังพลอย่างจำนวนมากและต่อเนื่อง คาดว่ามีทหารเสียชีวิตอย่างน้อย 221 นาย (อ้างอิงจากการนับผู้เสียชีวิตโดยฝ่ายไทย) และสูญเสียคลังเก็บเสบียงและอาวุธจำนวนมากในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้
เทียบหมัดต่อหมัด ไทย vs กัมพูชา ใครเสียเปรียบในการรบ
- รายงานชี้ว่า กัมพูชาเผชิญปัญหาเรื่องความยั่งยืนในการทำสงครามยืดเยื้อ เพราะมีระบบโลจิกติกส์ที่ไม่เพียงพอ เช่น การใช้อาวุธอย่างจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และขีปนาวุธต่อต้านรถถังรุ่นใหม่ GAM-102 ซึ่งคาดว่า กัมพูชาจะยืนระยะได้เพียง 15-20 วัน จากการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าว
- อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กัมพูชาเสียเปรียบไทย คือ การพึ่งพาการนำเข้าจากไทยราว 30% โดยเฉพาะทรัพยากรอย่างน้ำมัน
- นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า หากความรุนแรงยังดำเนินต่อไป คลังอาวุธของกัมพูชาอาจอยู่ในภาวะ ‘วิกฤต’ ภายในไม่ถึง 30 วัน ยกเว้นแต่จะได้รับการสนับสนุนจากภายนอก ซึ่งเป็นตัวแปรที่ไม่ชัดเจนว่า กัมพูชาได้รับความช่วยเหลือจริงหรือไม่ ทั้งในรูปแบบการเงิน ทุน เสบียง อาวุธ กระสุน หรือกำลังพล
- ขณะที่ความพร้อมด้านทรัพยากรของไทย มีการอ้างอิงรายงานจากกระทรวงพลังงานว่า ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางทหารไว้ที่ระดับ ‘ขั้นต่ำ 45 วัน’ สำหรับปฏิบัติการรบโดยเฉพาะ
- ในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ไทยได้เปรียบและมีศักยภาพสูง โดยกองทัพไทยติดอันดับที่ 25 ของโลกในด้านขีดความสามารถทางทหาร ซึ่งพิจารณาจากโครงสร้างกองทัพที่ทันสมัย และได้รับงบประมาณอย่างเพียงพอ
- นอกจากนี้ ไทยยังมีขีดความสามารถในการผลิตอาวุธปืนเล็กและกระสุนปืนใหญ่เองภายในประเทศ ทำให้สามารถดำเนินปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าปริมาณที่สำรองไว้ในเบื้องต้น
- สำหรับประเด็นด้านโลจิกติกส์ รายงานระบุว่า กองทัพไทยประสบความสำเร็จในการทำลายคลังอาวุธของกัมพูชา ซึ่งยิ่งสร้างความได้เปรียบให้กับฝ่ายไทย และสร้างความยั่งยืนในการรบมากขึ้น
มองตัวแปรทาง ‘ยุทธศาสตร์’ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา
- รายงานมองว่า การที่ไทยระงับการส่งออกเชื้อเพลิงและสินค้าทางยุทธศาสตร์ ทำให้ ‘เส้นตาย’ หรือระยะเวลาที่กัมพูชาสามารถดำเนินปฏิบัติการทางทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพสั้นลง
- รายงานระบุถึงประเด็นความไม่เท่าเทียมด้านโลจิกติกส์ว่า กัมพูชามีโลจิกติกส์ไม่เพียงพอสำหรับสงครามยืดเยื้อ ถ้าไม่มีการแทรกแซงจากประเทศภายนอก หากเทียบกับไทยที่มีศักยภาพเหนือกว่า
- อีกหนึ่งตัวแปรคือจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ไทยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย ขณะที่ตัวเลขทางกัมพูชายังไม่ชัดเจน หากแต่รายงานระบุว่า มีจำนวนสูงกว่าไทยมาก ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อกำลังพลและยุทโธปกรณ์ของฝั่งกัมพูชา
- อย่างไรก็ตาม อนาลโย กอสกุล นักสังเกตการณ์การทหารอิสระให้ความเห็นต่อรายงานฉบับนี้ว่า อาจมีการประเมินศักยภาพจำนวนกระสุนในคลังแสงไทยที่เกินจริง โดยอนาลโยระบุว่า ไทยอาจมีกระสุนใช้ไม่เกิน 90 วัน แต่อาจมีใช้ราว 1-2 เดือนเท่านั้น
- กล่าวโดยสรุป บทวิเคราะห์ชี้ว่า การเผชิญหน้าระหว่างไทยกับกัมพูชาจะยุติลงภายใน 20 วันข้างหน้า หรือไม่เกินสิ้นเดือนมกราคม 2026 หาก ‘ไม่มี’ การแทรกแซงจากภายนอกในรูปแบบความช่วยเหลือ หรือเกิดความขัดแย้งรูปแบบอื่นๆ เช่น สงครามกองโจร หรือการก่อการร้ายที่สนับสนุนโดยรัฐ


