×

ยุทธศาสตร์การลงทุนใน AI WAR 2026

18.12.2025
  • LOADING...
ยุทธศาสตร์การลงทุนใน AI WAR 2026

การแข่งขันชิงความเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี AI ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนกลายเป็นประเด็นที่กำลังส่งผลต่อระเบียบโลกใหม่ ทั้งสองประเทศมีเดิมพันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจ แต่รวมไปถึงความมั่นคง และการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ไปพร้อมกัน

 

สำหรับปี 2026 ทั้งสหรัฐฯและจีนเผยกลยุทธ์ให้เห็นมากกว่าทุกครั้ง เมื่อการแข่งขันทวีความเข้มข้น ยุทธศาสตร์ AI จะกดดันให้ทั้งสองประเทศยิ่งต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด การทำความเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อนของแต่ละฝ่าย คือกุญแจสำคัญสำหรับนักลงทุนในการวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ภายใต้การแข่งขันในครั้งนี้

 

เริ่มที่สหรัฐฯ เป้าหมายหลักคือ Tech Superiority กดดันจีนเรื่องความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ

 

รัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบันใช้กลยุทธ์คล้ายกับยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น คือผสมผสานระหว่างการเข้าแทรกแซงโดยรัฐบาลในระดับสูง และใช้แรงจูงใจทางการเงินเพื่อสนับสนุนการผลิตและการจัดซื้อภายในประเทศ คล้ายกับยุคการแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น

 

จุดแข็งสำคัญของสหรัฐฯ คือการครองความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และความน่าเชื่อถือในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ Semiconductor ที่สหรัฐฯ มีส่วนแบ่งการตลาดราว 50% พร้อมกันนี้ สหรัฐฯ มีความได้เปรียบด้านความน่าเชื่อถือ เนื่องจากประวัติการประกอบธุรกิจที่เน้นความโปร่งใส แตกต่างจากจีนที่มักมีรูปแบบการควบคุมจากรัฐบาลกลาง

 

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงและจุดอ่อนหลักของสหรัฐฯ คือปัญหาคอขวดด้านการผลิตชิป และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

 

แม้จะเป็นผู้นำด้านการออกแบบ แต่การผลิตส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะ TSMC และ Samsung ความพยายามในการย้ายฐานการผลิต (reshoring) มีความท้าทายทั้งด้านต้นทุนและการขาดแคลนวิศวกร

 

นอกจากนั้น อีกปัญหาสำคัญคือข้อจำกัดด้านพลังงาน เนื่องจากตลาดไฟฟ้าในอเมริกามีความตึงตัวและไม่มีเอกภาพ หากไร้ซึ่งพลังงานในการขับเคลื่อน ความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงภาพร่างบนกระดาษ

 

ข้ามมาที่ฝั่งจีน ยุทธศาสตร์สำคัญคือความเป็นองค์รวมและมีการประสานงานสูง พร้อมกดดันสหรัฐฯ ด้วย Rare Earths

 

เป้าหมายหลักของจีนคือความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี เมื่อจีนมองว่าการพัฒนา AI เป็นความมั่นคงของชาติ รัฐบาลจึงมีการสนับสนุนทางการเงินอย่างมหาศาล ตั้งแต่การตั้งกองทุนนำร่องมูลค่ากว่า 13 ล้านล้านหยวนในปี 2024 และให้การสนับสนุนส่วนอื่น ๆ เช่นที่ดินราคาถูก การพัฒนากำลังคน และลดภาระค่าใช้จ่ายในการประมวลผล AI เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน Application อย่างแพร่หลาย

 

จุดแข็งของจีน คือการครอบครองวัตถุดิบสำคัญและแร่หายาก (Rare Earths) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับการสกัดแร่หายากมากกว่า 90% ของโลก เป็นผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เช่น หุ่นยนต์ AI และยานยนต์ไร้คนขับ ล่าสุดมีการติดตั้งหุ่นยนต์ในภาคการผลิต คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าสหรัฐฯ ถึง 12 เท่า มากไปกว่านั้น คือความได้เปรียบด้านประสิทธิภาพ กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองสูง ต้นทุนต่ำ ตัวอย่างที่ชัดเจนเช่น DeepSeek ที่มีต้นทุนการประมวลผลคิดเป็นเพียง 3% ของ ChatGPT

 

แต่ปัญหาหลักของจีนหนีไม่พ้นการขาดแคลนชิปขั้นสูง และความซ้ำซ้อนด้านการผลิต

 

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของจีนคือการถูกจำกัดการเข้าถึงชิปและเครื่อง EUV จากตะวันตกเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แม้จีนจะเร่งพัฒนาขีดความสามารถภายในประเทศ แต่อาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่จะพัฒนาขึ้นมาทัดเทียมสหรัฐฯ ในปัจจุบัน นอกจากนี้ การสนับสนุนบางอุตสาหกรรมแบบสุดโต่งมักก่อให้เกิดปัญหาภายในเรื่องการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และกำลังการผลิตที่ล้นเกินในหลายอุตสาหกรรม

 

เมื่อเราเข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของทั้งสหรัฐฯ และจีน ยุทธศาสตร์การลงทุนในสงคราม AI จะพุ่งเป้าไปที่ 3 สมรภูมิหลัก

 

(1) โครงสร้างพื้นฐาน – สมรภูมิ Cloud ของจีนกำลังจะพุ่งทะยาน

 

ในปี 2026 ผมเชื่อว่าจีนจะไล่ตามสหรัฐฯ ทัน มีโอกาสเห็นต้นทุนการประมวลผล AI (Inference costs) ในประเทศจีนลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ที่ต้นทุนโดยรวมอาจต่ำกว่าคู่แข่งในสหรัฐฯ ถึง 90% เรียกว่าไล่ตามด้วยความคุ้มค่า และรากฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

 

สำหรับนักลงทุน ผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ของจีนจะเป็นโอกาสการลงทุนที่สำคัญ คาดว่ารายได้ของธุรกิจนี้ จะเติบโตกว่า 20-30% ต่อปีไปจนถึงปี 2027

 

(2) พัฒนาการของชิปและ AI – แกนหลักของสหรัฐฯ ไม่แพ้ง่ายๆ

 

ในการแข่งขันด้านชิป สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำโลกต่อไป ไม่ใช่แค่เพราะพัฒนาการของสหรัฐฯจะเกิดขึ้นเร็ว แต่ความก้าวหน้าของจีนจะถูกจำกัดด้วยชิปขั้นสูง บริษัทที่เป็นผู้นำในการออกแบบชิป AI และบริษัทใน Rare Earth Supply Chain ในสหรัฐฯ จะได้รับการสนับสนุนสูงสุด เป็นสองการลงทุนหลักที่จะกำหนดทิศทางและอนาคตของพัฒนาการ AI โลก

 

(3) การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ – สมรภูมิที่ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต้องรักษาฐานที่มั่นของตัวเอง

 

จีนจะสร้างแอปพลิเคชัน AI จำนวนมากที่สุดในโลก เน้นกลยุทธ์ต้นทุนต่ำและหลากหลาย ส่วนสหรัฐฯ จะสร้าง AI ที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานของนวัตกรรมขั้นสูง

 

ในมุมการลงทุน หมายความว่าตลาดของสหรัฐฯ จะเป็นผู้ใช้ AI โดยตรง แต่ตลาดของจีนจะเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งทั้งสองประเทศต้องรักษาความได้เปรียบและฐานลูกค้าไว้ให้ได้

 

ในมุมมองของผม สงคราม AI WAR มีแต่จะเข้มข้นขึ้น เพราะความได้เปรียบของทั้งจีนและสหรัฐฯ มีความแตกต่างกันมาก

 

นักลงทุนต้องจำไว้ว่า สำหรับสงครามแห่งเทคโนโลยี ชัยชนะไม่ได้อยู่แค่การสร้างนวัตกรรม แต่รวมไปถึงการบริหารประสิทธิภาพ แก้ข้อจำกัดในการผลิต และประยุกต์ใช้งานจริงไปพร้อมกันด้วยครับ

 

ภาพ: Bunpoht Baimiden/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising