กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC (United Nations Office on Drugs and Crime) เป็นเจ้าภาพร่วม จัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ณ โรงแรม InterContinental กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม
โดยมีผู้แทนจำนวน 338 คน จาก 58 ประเทศ สหภาพยุโรป 5 องค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนผู้แทนจากภาคประชาสังคมและภาควิชาการเข้าร่วมการประชุม รวมถึงผู้แทนระดับรัฐมนตรีจาก 9 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา, เวียดนาม, สปป.ลาว, อินโดนีเซีย, จีน, อินเดีย, ศรีลังกา, รวันดา และซูดานใต้ นอกจากนี้ยังมีสื่อจากหลายประเทศทั่วโลกที่ร่วมติดตามทำข่าวการประชุมครั้งนี้
ซึ่งในส่วนของจีนนั้น ผู้แทนคือหลิวจงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ที่ก่อนหน้านี้ได้ลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และข้ามไปยังพื้นที่ศูนย์สแกมเมอร์ 2 แห่ง คือ KK Park และ ชเวโก๊กโก่ ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา
ตั้งเป้าหุ้นส่วนระดับโลกต้านสแกมเมอร์
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม โดยชี้ถึงภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์ ที่ดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติขนาดใหญ่ ว่าเป็นภัยคุกคามระดับโลก ซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ช่องโหว่ทางกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ และก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้คน ทั้งการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ

จากข้อมูลของ UNODC พบว่าศูนย์กลางการหลอกลวงทางออนไลน์ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังแพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของโลก โดยในปี 2023 การหลอกลวงทางออนไลน์ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินเฉพาะในภูมิภาคในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สูงถึงประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในสหรัฐฯ ประเทศเดียว ประเมินความสูญเสียไว้ที่ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ส่วนในประเทศไทย มูลค่าความสูญเสีย สูงเกิน 3.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 1 แสนล้านบาทในช่วงสามปีที่ผ่านมา
“ตัวเลขเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งสำหรับความสูญเสียทางเศรษฐกิจ แต่ความสูญเสียต่อชีวิตมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก การหลอกลวงทางออนไลน์มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบอื่นๆ คุกคามสิทธิมนุษยชน ความมั่นคงของสาธารณะ และความก้าวหน้า ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน” สีหศักดิ์กล่าว และชี้ว่าเหยื่อของการค้ามนุษย์เพื่อบังคับใช้แรงงานนั้นมาจากทั่วทุกมุมโลก
สำหรับประเทศไทย เฉพาะในปีนี้ได้ให้ความช่วยเหลือในการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศแล้วมากกว่า 10,000 คน จากกว่า 40 ประเทศ ที่ได้รับการช่วยเหลือจากแหล่งฉ้อโกงในประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไทยได้มีการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเพื่อเสริมสร้างการป้องกันและสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน
“ความจริงข้อนี้ทำให้เห็นชัดเจนอย่างหนึ่ง คือไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้เพียงลำพัง เราต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและดำเนินการอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อช่วยเหลือและปกป้องเหยื่อ และต้องแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างเหยื่อและผู้กระทำผิด”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า “ในระดับนานาชาติ ประเทศไทยภาคภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งใน 72 ประเทศที่ร่วมลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ณ กรุงฮานอย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการเสริมสร้างความร่วมมือระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์”
ขณะที่เขาชี้ว่าการที่ประเทศต่างๆ ดำเนินการต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์เพียงลำพัง จะสามารถจับได้เพียง ‘ปลาตัวเล็ก’ และชี้ว่า การจับ ‘ปลาตัวใหญ่’ หรือการทำลายเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติรายใหญ่ จำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มเพื่อแบ่งปันข้อมูล และประสานงานระหว่างประเทศกันมากขึ้น
“ประเทศไทยริเริ่มการประชุมครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อสร้างเวทีใหม่ แต่เพื่อช่วยลดช่องว่างระหว่างเวทีที่มีอยู่แล้ว เจตนาของเราคือการเสริมความพยายามที่กำลังดำเนินอยู่และมุ่งเน้นไปที่การนำไปปฏิบัติโดยตรง การประชุมครั้งนี้จึงได้รับการออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้จริงสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย ซึ่งประเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน องค์กรระหว่างประเทศ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมสามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ปรับแนวทางให้สอดคล้องกัน และเปลี่ยนจากการอภิปรายไปสู่การปฏิบัติ” เขากล่าว
“ประเทศไทยคาดหวังว่าการประชุมในครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างหุ้นส่วนระดับโลก เพื่อต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ ความร่วมมือที่นำมาซึ่งความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่เจตนาที่ดี”
ขณะที่สีหศักดิ์คาดหวังว่าที่ประชุมจะมีการรับรองแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ และสนับสนุนให้ทุกประเทศและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมแสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนแถลงการณ์นี้และเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนระดับโลกดังกล่าว

กัมพูชาไม่เข้าร่วม แต่เชื่อร่วมมือได้
ภายหลังการกล่าวสุนทรพจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยตอบคำถามกรณีที่กัมพูชาไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม แม้จะเป็นประเทศที่ถูกจับตามองจากการเป็นที่ตั้งของศูนย์สแกมเมอร์จำนวนมาก
สีหศักดิ์ยืนยันว่าไทยไม่ได้มุ่งตำหนิหรือกล่าวโทษประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งการเข้าร่วมของแต่ละประเทศมีบริบทที่แตกต่างกัน โดยแน่นอนว่าหากกัมพูชาเข้าร่วมได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถึงแม้ไม่ได้เข้าร่วม ไทยเชื่อว่าสิ่งที่ตกลงและหารือกันในที่ประชุมครั้งนี้ กัมพูชาน่าจะให้ความร่วมมือได้ เพราะนี่เป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องช่วยกันแก้ไข
“เราต้องยอมรับว่าอาชญากรรมประเภทนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ดังนั้นหวังว่าสิ่งที่เราพูดคุยกันในวันนี้จะได้รับการนำไปปฏิบัติโดยทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง” เขากล่าว และมองว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แรงกดดันจากนานาชาติเพื่อให้กัมพูชาเข้าร่วมในการแก้ไขปัญหา
“ทุกประเทศต้องตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และรับฟังเสียงจากเวทีการประชุม ถึงเวลาแล้วที่ทุกประเทศจะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง”
ส่วนคำถามว่าอะไรคือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของการประชุมครั้งนี้ สีหศักดิ์ชี้ว่าในภาพรวม ที่ประชุมพยายามแจกแจงแนวทางการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในมิติต่างๆ และในเดือนมีนาคมปีหน้าจะมีการประชุมสุดยอดว่าด้วยการฉ้อโกงระดับโลก ซึ่งจัดโดย UNODC และอินเตอร์โพล ที่กรุงเวียนนา ซึ่งไทยได้แจ้งไว้แล้วว่าจะนำผลลัพธ์จากการประชุมครั้งนี้ไปขยายผลต่อในเวทีเวียนนา
เลขาฯ UN เรียกร้องทุกประเทศลงนามอนุสัญญาต้านอาชญากรรมไซเบอร์
นอกจากนี้ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) และโวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ยังได้ส่งข้อความวิดีโอเผยแพร่ในงานนี้ โดยย้ำถึงภัยคุกคามของการหลอกลวงทางออนไลน์ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในแต่ละปี และเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ พร้อมทั้งให้สัตยาบัน และนำไปปฏิบัติโดยเร็วเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือข้ามพรมแดน

ขณะที่เติร์กชี้ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสในการหารือถึงเครื่องมือทางกฎหมายและเชิงนโยบายที่เป็นไปได้ทั้งหมด รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อยุติเครือข่ายการแสวงหาประโยชน์และการละเมิดอันเลวร้ายจากเครือข่ายหลอกลวงทางออนไลน์ โดยประเทศต่างๆ สามารถต่อยอดจากประสบการณ์ร่วมกันในการรับมือกับการค้ามนุษย์ และให้ความสำคัญกับการคัดกรองและระบุตัวเหยื่อและอาชญากรได้ดียิ่งขึ้น

UNODC ชื่นชมนายกฯ สะท้อนความมุ่งมั่นไทยปราบสแกมเมอร์
ด้าน เดลฟีน ช้านท์ซ (Delphine Schantz) ผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แสดงความยินดีที่ได้ร่วมจัดงานประชุมครั้งนี้กับประเทศไทย และย้ำว่าการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ขณะที่ชื่นชมนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล สำหรับบทบาทความเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมืออาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังสะท้อนถึงการที่หลายประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์มากขึ้น



