×

รายงาน UNDP ชี้ว่า AI อาจก่อให้เกิดยุคความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศครั้งใหม่ เมื่อแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นไม่เท่ากัน

โดย THE STANDARD TEAM
10.12.2025
  • LOADING...
รายงาน UNDP ชี้ว่า AI อาจก่อให้เกิดยุคความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศครั้งใหม่ เมื่อแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นไม่เท่ากัน

วันนี้ (10 ธันวาคม) รายงานฉบับใหม่จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ชี้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่ได้รับการกำกับดูแลอย่างรอบด้าน อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศ ด้วยการขยายช่องว่างด้านศักยภาพทางเศรษฐกิจ ขีดความสามารถของประชาชน และระบบธรรมาภิบาล เนื่องจากแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นในการใช้ AI ที่แตกต่างกันมาก

 

รายงานเรื่อง ‘ความเหลื่อมล้ำครั้งใหม่ของโลก: เหตุใด AI อาจทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประเทศกว้างขึ้น’ (The Next Great Divergence: Why AI May Widen Inequality Between Countries) ระบุว่า แม้ AI จะเปิดโอกาสใหม่ที่สำคัญต่อการพัฒนา แต่ประเทศต่างๆ กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ด้วยความพร้อมที่ไม่เท่าเทียม หากปราศจากนโยบายที่เข้มข้น ช่องว่างเหล่านี้อาจกว้างขึ้น และทำให้แนวโน้มการพยายามลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาตลอดหลายปีที่ผ่านมาย้อนกลับไปอีกทาง

 

ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรมากกว่าร้อยละ 55 ของโลก อยู่ใจกลางการเปลี่ยนผ่านด้าน AI ปัจจุบันภูมิภาคนี้มีผู้ใช้งาน AI กว่าครึ่งหนึ่งของโลก และเป็นพื้นที่ที่ AI กำลังขยายบทบาทด้านนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว อย่างจีนที่ถือครองเกือบ 70% ของสิทธิบัตร AI ทั่วโลก และจำนวนสตาร์ตอัปด้าน AI ที่ได้รับทุนกว่า 3,100 รายใน 6 เศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่ง AI อาจช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในภูมิภาครายปีได้ราว 2 จุดร้อยละ และเพิ่มผลผลิตในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น สาธารณสุขและการเงิน ร้อยละ 5 ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศกลุ่มอาเซียนเพียงอย่างเดียวอาจมีมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในทศวรรษหน้า

 

อย่างไรก็ดี งานจำนวนมาก โดยเฉพาะงานที่ผู้หญิงและเยาวชนทำอยู่ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ หากไม่มีหลักการด้านจริยธรรมและความครอบคลุมในการกำกับดูแล AI

 

“AI กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลายประเทศยังยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น” คานนี วิกนาราชา ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของ UNDP กล่าว “ประสบการณ์ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกสะท้อนให้เห็นว่า ช่องว่างระหว่างผู้ที่กำลังกำหนดทิศทาง AI กับผู้ที่กำลังถูก AI กำหนด สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพียงใด”

 

สำหรับดัชนีความพร้อมด้าน AI (AI Preparedness Index: AIPI) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 52 จาก 170 ประเทศ และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งสะท้อนถึงรากฐานดิจิทัลของไทยที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตามดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) ของ UNDP ซึ่งวัดจากสุขภาพ การศึกษา และรายได้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 76 จาก 193 ประเทศ

 

“ช่องว่างระหว่างความพร้อมด้าน AI กับการพัฒนามนุษย์ชี้ให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านดิจิทัล แต่ประชาชนอาจยังไม่อยู่ในจุดที่พร้อมปรับตัวกับ AI ได้ทันท่วงที เพื่อได้รับประโยชน์จากโอกาสที่มาพร้อมกับ AI ได้เต็มที่ หรือถูกปกป้องจากการเปลี่ยนแปลงหรือการหยุดชะงักที่เกิดจาก AI” นีฟ คอลีเออร์-สมิธ ผู้แทน UNDP ประเทศไทยกล่าว “ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนในประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการศึกษาที่ครอบคลุม ทักษะดิจิทัล และระบบที่ปกป้องชุมชนจากความเสี่ยงใหม่ ๆ เพื่อให้ AI เป็นเทคโนโลยีที่ส่งเสริมอนาคตที่ยุติธรรมและยั่งยืนมากขึ้นสำหรับทุกคน”

 

กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา หลายประเทศที่มีรายได้ต่ำได้ทยอยลดช่องว่างกับประเทศรายได้สูงด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การค้า และการพัฒนา ยุคของ “การบรรจบกัน” นี้นำมาซึ่งความก้าวหน้าอย่างมากในด้านสุขภาพ การศึกษา และรายได้ ซึ่งรายงานฉบับนี้เตือนว่าหากปราศจากการกำหนดนโยบายที่รอบคอบและครอบคลุม AI อาจทำให้ความก้าวหน้าเหล่านี้ถดถอยลง

 

ความพร้อมด้านดิจิทัลยังแตกต่างกันมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และจีนกำลังลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐาน AI และทักษะบุคลากร ขณะที่บางประเทศยังอยู่ระหว่างการเสริมสร้างพื้นฐานการเข้าถึงดิจิทัลและทักษะการรู้ดิจิทัล การสร้างความสามารถด้านดิจิทัลเหล่านี้สำคัญต่อการทำให้ทุกประเทศได้รับประโยชน์จาก AI อย่างทั่วถึง

 

ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ กำลังการประมวลผล และศักยภาพด้านธรรมาภิบาล ลดศักยภาพของ AI และยังเพิ่มความเสี่ยง เช่น การแทนที่แรงงาน การถูกกีดกันจากข้อมูล และผลกระทบทางอ้อม อย่างการใช้พลังงานและการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากระบบ AI ที่มีความเข้มข้น

 

นอกจากนี้รายงานยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างทักษะการใช้ AI กับทักษะการใช้เครื่องมือพื้นฐานในการจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูล ชี้ว่าหนึ่งในสี่ของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเกิดการสูญเสียงาน และมีเพียงหนึ่งในสี่ของประชาชนในเขตเมืองและน้อยกว่าหนึ่งในห้าของประชาชนในชนบทที่สามารถทำงานพื้นฐานในสเปรดชีต ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับการจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูล และมีเพียงราวร้อยละห้าของประชาชนในประเทศรายได้น้อยที่ใช้เครื่องมือ AI และในหลายบริบทมีผู้ที่สามารถทำงานสเปรดชีตพื้นฐานได้ไม่ถึงหนึ่งใน 20

 

ผู้หญิงและเยาวชนเป็นกลุ่มที่เผชิญความเปราะบางมากเป็นพิเศษ งานที่ผู้หญิงทำอยู่มีความเสี่ยงถูกทำให้เป็นระบบอัตโนมัติสูงกว่างานของผู้ชายเกือบสองเท่า ขณะที่การจ้างงานเยาวชนในตำแหน่งที่มีการใช้ AI สูงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 22–25 ปี ซึ่งกระทบช่วงเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพ

 

ในอีกด้านหนึ่ง AI กำลังเปลี่ยนแปลงการบริหารภาครัฐและบริการสาธารณะในภูมิภาค แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของกรุงเทพมหานครได้รับแจ้งปัญหาจากประชาชนแล้วเกือบ 600,000 ครั้ง ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐตอบสนองต่อปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ขณะที่บริการ Moments of Life ของสิงคโปร์ช่วยลดเวลาการทำเอกสารสำหรับพ่อแม่มือใหม่จากประมาณ 120 นาทีเหลือเพียง 15 นาที ส่วนในกรุงปักกิ่ง ระบบ ‘ดิจิทัลทวิน’ ถูกนำมาใช้วางแผนผังเมืองและจัดการน้ำท่วม แสดงให้เห็นศักยภาพของ AI ในการยกระดับการบริหารและการบริการของภาครัฐ

 

อย่างไรก็ดี มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีกฎหมาย AI ที่ครอบคลุม และคาดว่าในปีพ.ศ. การรั่วไหลของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 40 อาจเกิดจากการใช้ AI เชิงกำเนิด (generative AI) ในทางที่ผิด ซึ่งสะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของการมีกรอบธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังต้องเร่งไล่ตาม

 

“เส้นแบ่งสำคัญที่สุดในยุค AI คือศักยภาพ” ฟิลิป เชลเลเคนส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ UNDP ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกล่าว “ประเทศที่ลงทุนในทักษะ กำลังการประมวลผล และระบบธรรมาภิบาลที่แข็งแรงจะได้รับประโยชน์ ส่วนประเทศอื่น ๆ เสี่ยงถูกทิ้งห่าง”

 

รายงานฉบับนี้มุ่งชี้แนวทางว่าโลกจะเปลี่ยนความเสี่ยงนี้ให้เป็น “หนทางสู่ความก้าวหน้าร่วมกัน” ได้อย่างไร

 

แฟ้มภาพ: Greenbutterfly / Shutterstock

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising