วันนี้ (10 ธันวาคม) พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดเผยถึงสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนในขณะนี้ว่า ส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายพื้นที่ ทั้งในเขตความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1, กองทัพภาคที่ 2 และพื้นที่กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยพบว่ามีบ้านเรือนเสียหาย ประชาชนต้องอพยพ และโรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดทำการเรียนการสอน
พลอากาศเอก ประภาส ระบุว่า รัฐบาลและกองทัพตระหนักถึงความเดือดร้อนดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยยึดหลัก ประชาชนคือศูนย์กลางของทุกการตัดสินใจ พร้อมยืนยันชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรง แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้จำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเอง ภายใต้มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อคุ้มครองอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน
ผู้อำนวยการศูนย์ฯ เน้นย้ำว่า การปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) อย่างเคร่งครัด โดยยึดหลักการใช้กำลังเท่าที่จำเป็น ไม่เกินกว่าเหตุ และแยกแยะเป้าหมายทางทหารออกจากพลเรือนอย่างชัดเจน ไทยไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือนหรือโครงสร้างพื้นฐานโดยเด็ดขาด
ส่วนกรณีการใช้กำลังทางอากาศในบางพื้นที่นั้น ถือเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อยุติภัยคุกคามต่อพื้นที่ชุมชน และลดความเสี่ยงต่อชีวิตประชาชนและเจ้าหน้าที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอยการสูญเสียพลเรือนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยทุกปฏิบัติการผ่านการข่าวกรองที่รอบคอบ เน้นความแม่นยำสูงสุด
ทางกองทัพยังคงยึดมั่นในแนวทางสันติภาพและใช้กลไกทางการทูตควบคู่ไปกับการดูแลความมั่นคง พร้อมทั้งสื่อสารข้อมูลไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนและองค์การระหว่างประเทศอย่างโปร่งใส แต่เมื่ออธิปไตยถูกคุกคาม จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม
“ขอยืนยันว่ารัฐบาลและกองทัพจะไม่ทอดทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือและเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน” พลอากาศเอก ประภาส กล่าว


