วันนี้ (4 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล บวรศักดิ์ อุวรรโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ครั้งที่ 1/2568 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาลว่า ในการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตถือว่ามีความสำคัญโดยเฉพาะในพื้นที่หาดใหญ่
บวรศักดิ์กล่าวว่า รัฐบาลต้องการสร้างระบบที่จะทำให้พี่น้องหาดใหญ่รู้สึกสบายใจ และนอนหลับได้ และมีความมั่นใจได้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกในปีหน้าหรือในอนาคต หากเกิดขึ้นต้องมีแผนอพยพที่ความพร้อม ซึ่งบทเรียนที่ได้จะสามารถนำไปใช้กับพื้นที่อื่น ๆ ได้ทั้งหมดด้วยคณะกรรมการชุดใหญ่ที่ตั้งขึ้นนี้ประกอบด้วยหน่วยงานระดับกระทรวง ระดับกรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำและการเยียวยา
พร้อมทั้งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ 3 ท่าน ได้แก่ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และดร.รอยล จิตรดอน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากภาคประชาชน (NGO) อย่างแก้วสรร อติโพธิ รวมทั้งอาสาสมัครจิตอาสาทั้งหลาย มาร่วมกันประชุมเพื่อถอดบทเรียนโดยผลจากการถอดบทเรียนจะถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดแนวทางการเตรียมความพร้อมในอนาคตภายใน 3 เดือน โดยมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการรวม 5 ชุด ซึ่งจะมีการออกเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ ประกอบไปด้วย
1. คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมในการรับภัย มีหน้าที่ดูแลเรื่องการพยากรณ์อากาศ การวิเคราะห์การพยากรณ์อุทกภัย และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่ชัดเจน โดยขอให้รักษาการเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธาน
2. คณะอนุกรรมการป้องกันและลดผลกระทบ เป็นชุดที่มีขอบเขตการทำงานกว้างขวาง ครอบคลุมการดูแลเรื่องการอพยพและศูนย์อพยพ ระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล สาธารณูปโภค และการสื่อสารที่ไม่ให้ล่ม ชุดนี้จะขอให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าผู้ให้บริการจะต้องมีระบบสำรอง (backup) ด้วยโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) เพื่อให้การสื่อสารและบริการไม่ล้มเหลว แม้ไฟฟ้าจะดับ นอกจากนี้ยังต้องไปตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกัน เช่น คลอง ร.1 ว่าสามารถรับมือภัยพิบัติในอนาคตได้หรือไม่
3. คณะอนุกรรมการจัดการในภาวะฉุกเฉิน รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งต้องอาศัยการระดมเรือและรถจากกองทัพและส่วนราชการ โดยขอให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน
4. คณะอนุกรรมการจัดการหลังเกิดภัย มีหน้าที่ดูแลเรื่องการเยียวยา การจัดการขยะ การทำความสะอาด และการดูแลสุขภาพจิตของประชาชน โดยมีปลัดสำนักนายกฯ และปลัดกระทรวงมหาดไทยดูแล
5. ชุดประสานงาน ที่ทำงานเหมือนชุดจับฉ่าย) โดยเป็นชุดที่นายบวรศักดิ์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีจะดูแลเอง เพื่อจัดการปัญหาที่ซ้อนทับทั้ง 4 ชุด และป้องกันความสับสน เช่นที่ผ่านมามีการสับสนมากจากการมีแอปพลิเคชันที่ขาดการประสานงาน โดยจะดูแลเรื่องการใช้ AI แพลตฟอร์มกลาง และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ
“ที่ผ่านมาแม้จะมีจุดเด่นจากการทำงานของจิตอาสาและทุกหน่วยงาน แต่จุดบกพร่องที่ต้องถอดบทเรียนคือ การขาดการซ้อมแผนเผชิญเหตุ ความไม่ชัดเจนของศูนย์อพยพ ทำให้ประชาชนไม่รู้ว่าที่ปลอดภัยอยู่ ณ ที่ใด และปัญหาที่ชาวบ้านไม่กล้าออกจากบ้านเนื่องจากกลัวทรัพย์สมบัติจะสูญหาย ซึ่งจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่า ตำรวจและทหารจะดูแลทรัพย์สินให้”
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องระเบียบราชการ โดยเฉพาะในช่วงภัยพิบัติ เช่น ปัญหาของบริจาคที่หน่วยงานรัฐไม่กล้าให้ผู้ประสบภัยเพราะผิดระเบียบพัสดุ และความจำเป็นที่ต้องมีการแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เขียนไว้สำหรับเวลาปกติ เนื่องจากกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในปัจจุบันยังไม่สามารถประกาศได้จนกว่าเหตุจะเกิดขึ้น และระเบียบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอาจเป็นอุปสรรคในช่วงวิกฤต
นอกจากนั้นบวรศักดิ์ เผยว่า คณะกรรมการจะพิจารณาจัดทำ คู่มือประชาชน เพื่อให้คำแนะนำว่า หากเกิดสถานการณ์ระดับเบื้องต้น ระดับกลาง หรือระดับอพยพ ประชาชนต้องเตรียมตัวอย่างไร รวมถึงการเตรียมเสื้อชูชีพ ของยังชีพที่อยู่ได้ 3 วัน และการมีโซลาร์เซลล์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ในบ้าน
สำหรับขั้นตอนต่อไป ในวันเสาร์ที่ 6 ธันวาคมนี้ ตนจะลงพื้นที่จริงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ ผู้อำนวยการ GISTDA และเลขาธิการ สทนช. เพื่อดูพื้นที่และวางแผนว่าจะป้องกันน้ำไม่ให้เข้าตัวเมืองได้อย่างไรในปีหน้า โดยหวังว่างานของชุดนี้จะเสร็จสิ้นภายใน 3 เดือนเพื่อเสนอให้ ครม.รับทราบแนวทางปฏิบัติต่อไป
ด้านแก้วสรร กล่าวว่า อยากจะขอตรงนี้ว่าในการทำงานเรื่องนี้ต้องมองว่าในอนาคตเราจะรับมืออย่างไรควรยุติการถามและเน้นย้ำถึงจำนวนผู้เสียชีวิต ว่าตายเท่าไหร่ เพราะมีคนที่บอกไปเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ แต่สิ่งที่ควรเน้นย้ำและให้ความสำคัญจริง ๆ คือการตรวจสอบว่าเราทำได้ดีกว่านี้ไหม เช่น การสามารถเตือนภัยล่วงหน้า 5 ชั่วโมงได้หรือไม่ และปัญหาที่เกิดขึ้นในเคสหาดใหญ่ เช่น ข้อมูลไม่เพียงพอ ฮาร์ดแวร์ไม่มี หรือขาดความประสานงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรไปตาม บี้ หรือตรวจสอบอย่างเข้มข้นเพื่อให้การทำงานดีขึ้น
แก้วสรรกล่าวต่อว่าในส่วนของประเทศญี่ปุ่นเกิดอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติขึ้น จะต้องมีการประเมินผลและถอดบทเรียนเสมอ โดยกระบวนการถอดบทเรียนของญี่ปุ่นคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งที่ 1 ขึ้น ก็จะมีการถอดบทเรียนและนำไปปรับปรุง และหากเกิดเหตุการณ์ครั้งที่ 2 ก็จะมีการถอดบทเรียนและนำไปปรับปรุงอีก การทำเช่นนี้ทำให้บ้านเมืองของญี่ปุ่นเจริญและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะออกเป็น ‘ปกขาว’ (White Paper) สำหรับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสึนามิ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรืออุทกภัย


