ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนช่วง 9 เดือนแรก และไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่า รายได้ชะลอลงตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
สรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการนำส่งผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 817 บริษัท คิดเป็น 98.7% จากทั้งหมด 828 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2568 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) พบว่า 9 เดือนแรกของปี 2568 มีบจ. ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 602 บริษัท คิดเป็น 73.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 12,432,596 ล้านบาท ลดลง 6% เช่นเดียวกับต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง 6.6% และ 1.2% ตามลำดับ ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 844,047 ล้านบาท ลดลง 7.3%
อย่างไรก็ดี บจ. ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากการควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ บจ. มีกำไรสุทธิ 886,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8%
ทั้งนี้ หากไม่รวม บจ. ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายลดลง 0.7% และมีกำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1.2% และ 16.4% ตามลำดับ ด้านฐานะการเงินของ บจ. ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.49 เท่า ลดลงจาก 1.56 เท่า ณ ช่วงเดียวกันในปีก่อน
สำหรับงวดไตรมาส 3/2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า บจ. ส่วนใหญ่มียอดขายลดลง แต่มีกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21% และ 31.4% ตามลำดับ เนื่องจาก บจ. ในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน มีราคาส่วนต่างค่าการกลั่นต่ำผิดปกติในปีก่อน
ทั้งนี้ หากไม่รวม บจ. ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายและมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 11.9% และ 3.2% ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.3%
นอกจากความท้าทายของราคาน้ำมันที่ลดลงแล้ว เศรษฐกิจไทย ซึ่งเติบโตในอัตราชะลอลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบชัดเจนกับยอดขาย บจ. ไทยในไตรมาส 3 โดยเกือบทุกหมวดธุรกิจ มียอดขายลดลง และกระทบกับภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี
โดยเฉพาะหมวดบริการซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของประเทศ เริ่มมีผลประกอบการลดลงอย่างชัดเจนในไตรมาส 3 สำหรับหมวดธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดี คือ หมวดธุรกิจประกันภัย ตามแนวโน้มการออมและการประกันความเสี่ยงของสังคมผู้สูงอายุ และหมวดโทรคมนาคม ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ Data และ Internet เพิ่มตามแนวโน้มการปรับสู่สังคม Digital ที่เติบโต” สรวิศ กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2568 มียอดขายรวม 151,127 ล้านบาท ลดลง 3.6% ต้นทุนขาย 111,422 ล้านบาท ลดลง 4% ทำให้มีกำไรขั้นต้น 39,705 ล้านบาท ลดลง 2.2% ทั้งนี้ บจ. มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 2.2% ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 9,702 ล้านบาท ลดลง 13.5% และมีกำไรสุทธิรวม 3,722 ล้านบาท ลดลง 38.9%
รายได้และกำไรที่ลดลงของบริษัทจดทะเบียน สะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) โดยเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ทำจุดต่ำสุดที่ 1,062.78 จุด จากระดับ 1,390.88 เมื่อต้นปี ทำให้ผลตอบแทนติดลบ 8.83% ตั้งแต่ต้นปี
เมื่อดูแนวโน้มการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า ตั้งแต่ต้นปี มีการปริมาณซื้อขายสุทธิ 1,894,659.55 ล้านหุ้น มูลค่า 9,212,748.47 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบัน มีการขายสุทธิที่ 28,388.55 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 111,873.36 ล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนไทยที่ซื้อสุทธิ 151,835.64 ล้านบาท


