วันนี้ (1 ธันวาคม) ท่ามกลางบรรยากาศการฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่หลังมวลน้ำก้อนใหญ่พัดผ่านไป สิ่งที่ทิ้งไว้ไม่ใช่เพียงคราบโคลนบนถนนหรือความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับคนรักการอ่าน ภาพที่สะเทือนใจที่สุดอาจอยู่ที่ร้านหนังสือเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ชอบอ่านจัง ร้านหนังสือตามสั่ง’
ร้านหนังสือการ์ตูนและวรรณกรรมที่อยู่คู่เมืองหาดใหญ่มากว่า 14 ปีแห่งนี้ ต้องเผชิญกับความเสียหายครั้งรุนแรง เมื่อหนังสือที่เปรียบเสมือน เพื่อน และ ครู นับหมื่นเล่ม ถูกมวลน้ำเข้าทำลายเสียหาย 100% มูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท
ชัยณรงค์ ฉัตรศิริเวช เจ้าของร้าน ผู้ซึ่งใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในวงการหนังสือมากว่า 30 ปี เล่าว่า ปกติแล้วเขาเตรียมพร้อมเสมอสำหรับน้ำท่วมประจำปี โดยการขนย้ายหนังสือขึ้นสู่ชั้น 2 แต่ปีนี้มวลน้ำมาเร็วและรุนแรงเกินคาดคิด วินาทีที่เขาและภรรยาฝ่ากระแสน้ำมาถึงหน้าร้านและเปิดประตูเข้าไป พบว่าน้ำได้เข้ายึดพื้นที่อย่างรวดเร็ว
การต้องจำใจทิ้งร้าน คือการตัดสินใจที่เจ็บปวดที่สุด แต่เขาต้องทิ้งหนังสือที่รัก เพื่อรักษาชีวิต แม้แต่รถยนต์และบ้านพักส่วนตัวก็จมอยู่ใต้น้ำเช่นกัน
เมื่อระดับน้ำลดลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความว่างเปล่าในหัวใจ ชัยณรงค์เล่าถึงวินาทีแรกที่ก้าวเท้ากลับเข้ามาในร้านว่า “มันตื้อมันคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน”
ความรู้สึกของคนทำร้านหนังสือ เมื่อเห็นหน้ากระดาษที่เคยพลิกอ่านบวมพอง หมึกจางหาย และปกหนังสือเปรอะเปื้อนโคลน มันคือความเจ็บปวดที่บรรยายไม่ถูก จนกระทั่งมิตรภาพจากเพื่อนฝูงและลูกค้าประจำที่แวะเวียนเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้เขาเริ่มตั้งสติและลงมือกู้ชีพ หนังสือเหล่านี้ออกมา
ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ร้านชอบอ่านจัง ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ขายหนังสือ แต่ที่นี่คือ โรงบ่มเพาะความฝัน
“ร้านนี้ได้สร้างนักอ่านหลายคนในหาดใหญ่ สร้างนักแปล เติมความฝันให้หลายคนที่อยากเป็นนักเขียน และจนทุกวันนี้พวกเขาก็ทำสำเร็จ” ชัยณรงค์ กล่าว
ความเจ็บปวดที่สุดของเจ้าของร้านไม่ใช่การขาดทุน แต่คือการเห็นหนังสือเหล่านี้ต้องกลายเป็นขยะ ที่รอรถเทศบาลมาเก็บไปเผาทิ้ง เขาจึงส่งเสียงสะท้อนจากหัวใจถึงนักอ่านทุกคนว่า
“หนังสือเหล่านี้ยังไม่ตาย พวกเขายังมีชีวิต.. เราอยากขอให้คนที่รักหนังสือช่วยพาพวกเขาไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุดแทนเรา”
แม้หนังสือจะไม่สมบูรณ์สวยงามดังเดิม ไม่สามารถนำมาขายในราคาปกติได้ แต่คุณค่าของเรื่องราว ข้างในยังคงอยู่ เขาจึงอยากส่งต่อหนังสือเหล่านี้ให้แก่ผู้ที่มองเห็นคุณค่า ให้หนังสือได้กลับไปทำหน้าที่ของมันในบ้านของใครสักคน ดีกว่าต้องจบชีวิตลงในกองเพลิง
แม้ในวันนี้ อนาคตของร้านจะยังเป็นเครื่องหมายคำถาม แต่จิตวิญญาณของคนทำหนังสือยังไม่มอดดับ ชัยณรงค์ทิ้งท้ายว่า เรื่องการเปิดร้านต่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต แต่สิ่งที่เขาอยากทำตอนนี้คือการหารือกับสำนักพิมพ์และนักเขียนคู่บุญ เพื่อหาหนทางที่จะนำพาร้านหนังสือแห่งนี้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
















