×

Painful lessons บทเรียนจากความเจ็บปวด ที่เปลี่ยนรีซ เจมส์ให้เป็นคนใหม่

01.12.2025
  • LOADING...
Painful lessons บทเรียนจากความเจ็บปวด ที่เปลี่ยน รีซ เจมส์ให้เป็นคนใหม่

ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเชลซีจะไม่สามารถคว้าชัยชนะ เก็บ 3 คะแนนเพื่อไล่บี้จ่าฝูงอย่างอาร์เซนอลได้ แต่สำหรับแฟนๆ ‘สิงห์บลูส์’ ทั้งที่ดูอยู่ที่เดอะ บริดจ์ และอีกหลายล้านคนที่นั่งเชียร์อยู่ที่หน้าจอที่บ้าน น่าจะรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ได้เห็น

 

เพราะแม้จะเสียเปรียบ จำนวนตัวผู้เล่นตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งหลัง จากใบแดงราคาแพงของมอยเซส ไคเซโด กองกลางฮาร์ดแมนตัวสำคัญของทีม แต่เชลซีที่เหลือ 10 คน นอกจากจะยันทีมจ่าฝูงที่กำลังร้อนแรงที่สุดได้จนจบเกม (แถมได้ประตูขึ้นนำก่อนด้วย) ยังยืนหยัดแลกหมัดสู้ได้อย่างสง่าผ่าเผย

 

หนึ่งในหัวใจสำคัญของเรื่องราวคือฟอร์มการเล่นในระดับที่พรีเมียร์ลีกยกย่องว่าเป็น ‘Masterclass’ ของรีซ เจมส์ กัปตันทีมวัย 25 ปี ที่รับบทหนักทั้งในการทำหน้าที่เกมรับที่แดนกลางแทนไคเซโด และบัญชาทีมเพื่อต่อกรกับนักเตะระดับท็อปอย่าง เดแคลน ไรซ์, มาร์ติน ซูบิเมนดี, มิเกล เมริโน, เอเรเบชี เอเซ และมาร์ติน โอเดอการ์ดได้อย่างน่าดูชม

 

นี่คือฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของเจมส์ในรอบหลายปีที่ผ่านมาก็ว่าได้ เรียกว่าเต็ม 10 ต้องได้ 10 เท่านั้น

 

เพียงแต่การกลับมาของ ‘Captain Fantastic’ แห่งเชลซีคนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่เกิดอาการบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีกที่กล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา (แฮมสตริง) จนหลายคนกังวลว่าเราอาจจะสูญเสียนักเตะฝีเท้าดีไปอีกคนเพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรัง

 

เจมส์ กลับมาได้อย่างไร และเขาเติบโต เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรบ้าง?

 

Painful lessons บทเรียนจากความเจ็บปวด ที่เปลี่ยน รีซ เจมส์ให้เป็นคนใหม่ 2

 

“รีซเล่นได้อย่างมหัศจรรย์ เขาเป็นนักเตะในระดับสุดยอด” เอ็นโซ มาเรสกา นายใหญ่ของเชลซี กล่าวชื่นชมผลงานของกัปตันทีมคนเก่ง

 

ในเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เจมส์ลงสนามเต็มเกมครบ 90 นาที และเป็นคีย์แมนในแดนกลางที่นอกจากจะเป็นกำลังหลักในการต้านทานเกมรุกของอาร์เซนอล ทำลายจังหวะการเล่นไม่ให้จ่าฝูงหาช่องจู่โจมได้สะดวกเพราะได้เปรียบตัวผู้เล่นแล้ว ยังทำหน้าที่ในการสร้างจังหวะเกม ลำเลียงบอล ไปจนถึงเปิดบอลอย่างแม่นยำ

 

ย้ำว่าเชลซีต้องแบกความเสียบเปรียบเรื่องจำนวนผู้เล่นนานถึงเกือบครบชั่วโมง หรือ 2 ใน 3 ของเกม ซึ่งอย่าว่าแต่การเจอทีมระดับใกล้เคียงหรือเหนือกว่าเลย ต่อให้เจอทีมที่ระดับฝีเท้าเป็นรองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือไหว

 

แต่เชลซีสู้กับอาร์เซนอลได้อย่างเร้าใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะพวกเขามี ‘Leader’ ที่ยอดเยี่ยมอย่าง เจมส์ ที่แสดงความเป็นผู้นำผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด

 

เข้าสุดทุกจังหวะ สู้ทุกจังหวะ ดันเกมขึ้นทุกจังหวะที่มีโอกาส พลังงานเหล่านี้ถูกส่งต่อถึงลูกทีมในสนามทุกคน นักเตะเชลซีจึงเล่นด้วยความฮึกเหิมและแลกหมัดกับอาร์เซนอลได้แบบชนิดดูแทบไม่ออกว่าพวกเขาเหลือตัวผู้เล่นน้อยกว่า

 

นอกจากความใจสู้แล้ว อีกสิ่งที่สำคัญคือดูเหมือนเจมส์จะกลับมามีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ที่สุดอีกครั้ง

 

เรื่องนี้ต้องยกให้เป็นความดีความชอบพิเศษของหลายฝ่ายที่ร่วมมือกัน

 

Painful lessons บทเรียนจากความเจ็บปวด ที่เปลี่ยน รีซ เจมส์ให้เป็นคนใหม่ 3

 

คนแรกที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นฟูและถนอมสภาพร่างกายของเจมส์คือ ไบรซ์ คาวานาห์ Performance director ของสโมสร

 

อีกคนคือ เคร็ก โรเบิร์ตส Medical director ผู้ตรวจเช็ก ประเมิน และส่งข้อมูลให้กับโค้ชอย่าง เอ็นโซ มาเรสกา ตัดสินใจว่าใครสามารถลงสนามได้หรือไม่ได้บ้าง

 

งานปกติของทั้งสองนั้นคือการทำงานร่วมกันในการดูแลสภาพร่างกายของนักเตะเชลซีให้มีสภาพร่างกายที่ดีที่สุด พร้อมที่สุด สมบูรณ์ที่สุด แต่ในกรณีของเจมส์ ซึ่งเป็นกัปตันทีมนั้นอาจจะบอกว่าต้องใช้การดูแลเป็นพิเศษ

 

เพราะนี่คือนักเตะที่นับตั้งแต่ลงเปิดตัวในปี 2019 เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่บาดเจ็บและพลาดการลงสนามมากที่สุดของสโมส หรือของพรีเมียร์ลีก

 

สิ่งที่ทำให้ทั้งสองประเมินได้คือข้อมูลจากฝ่ายวิเคราะห์ที่ติดตามข้อมูลร่างกายของผู้เล่นทุกอย่าง ซึ่งข้อมูลที่เก็บอย่างละเอียดเหล่านี้ นำไปสู่การตัดสินใจร่วมกันได้ว่าจะดูแลสภาพร่างกายของนักเตะอย่างไร วิ่งไปแล้วเท่านี้ หากให้ลงต่อจะได้กี่นาที หรือควรจะพักก่อน

 

ความใส่ใจในรายละเอียดทำให้เชลซีเปลี่ยนจากทีมที่มีสถิติอาการบาดเจ็บเลวร้ายที่สุดในพรีเมียร์ลีก เป็นทีมที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บน้อยที่สุด

 

ในกรณีของเจมส์นั้นเจ้าตัวบอกว่า “ทีมหลังบ้านช่วยเหลือผมอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาคือใคร ที่สโมสรผมจะมีคนที่ผมทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด เขามีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยให้ผมฟิตลงสนามได้”

 

จากคนที่บาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดเวลา ด้วยแนวทางใหม่ทำให้เจมส์ไม่มีอาการบาดเจ็บเลยตลอดช่วงระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ในวงเล็บว่าเงื่อนไขสำคัญคือการที่มาเรสกา ห้ามใช้งานเจมส์มากกว่า 1 นัดต่อสัปดาห์ (เงื่อนไขเดียวกับสายเปราะอย่าง เวสลีย์ โฟฟานา และโรเมโอ ลาเวีย)

 

เงื่อนไขนี้ทำให้เขาปราศจากอาการบาดเจ็บอย่างสิ้นเชิงในฤดูกาลที่แล้ว และกลับมามีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะลงเล่นต่อเนื่องได้ในฤดูกาลนี้

 

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เจมส์ลงเล่น 45 นาทีแรกในเกมที่พบกับเบิร์นลีย์ ต่อด้วยลงสนามอีก 82 นาทีในเกมกับบาร์เซโลนา และล่าสุดคือลงเต็มเกมในการเจอกับอาร์เซนอล

 

Painful lessons บทเรียนจากความเจ็บปวด ที่เปลี่ยน รีซ เจมส์ให้เป็นคนใหม่ 4

 

อย่างไรก็ดีเรื่องร่างกายไม่ใช่อย่างเดียวที่มีการเปลี่ยนแปลง ในแง่ของ ‘บทบาท’ และ ‘ตำแหน่ง’ ก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน

 

จากการแจ้งเกิดในฐานะแบ็กขวา ไปจนถึงวิงแบ็กขวา และบางครั้งรับบทเซ็นเตอร์ฮาล์ฟฝั่งขวา เวลานี้เจมส์ กำลังแจ้งเกิดในฐานะของกองกลางทางฝั่งขวาของเชลซีอย่างเต็มตัวโดยเล่นร่วมกับไคเซโด และเอ็นโซ เฟอร์นันเดส

 

ความจริงเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งไปเรื่อยไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเจมส์เป็นนักเตะที่มีคุณสมบัติที่ดีติดตัวอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่จัดจ้านพอตัว ทักษะการเล่นดี การครองบอลดี เลี้ยงบอลดี อ่านเกมดี และโดยเฉพาะทีเด็ดอย่างการครอสบอลที่มีประสิทธิภาพและอันตรายไม่แพ้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คู่แข่งในตำแหน่งแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษเลย

 

ความอเนกประสงค์ทำให้เขาเล่นได้หลายตำแหน่ง จนบางครั้งก็สับสนเหมือนกันว่าจะไปอยู่ตรงไหนดี

 

แต่การที่บอสอย่างมาเรสกา จับลงเล่นในตำแหน่งกองกลางดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพร่างกายและการเติบโตของเจมส์

 

ปกติแล้วการเล่นในตำแหน่งตัวริมเส้นนั้นใช้พละกำลังและร่างกายอย่างหนักหน่วง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาประสบปัญหาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าต่อให้เขาเล่นได้ แต่ร่างกายรับไม่ไหว

 

การปรับมายืนตรงกลางช่วยลดภาระในส่วนนี้ลงได้มาก โดยที่ไม่ได้ลดทอนคุณค่าในตัวของเจมส์ลงไป เขายังตัดบอลได้อย่างยอดเยี่ยม แข็งแกร่ง และสร้างสรรค์เกมได้ในรูปแบบที่แตกต่าง

 

มากกว่านั้นคือการที่เจมส์ เรียนรู้วิธีการเล่นที่จะถนอมกำลังและร่างกายด้วย ไม่ได้วิ่งพล่านไปมาเกินจำเป็น และไม่ได้ใส่สุดจนเป็นภาระต่อร่างกายที่เปราะบาง การเล่นของเขาเติบโต (Mature) เป็นการเล่นด้วยสมอง อ่านเกมอย่างเด็ดขาด และพัฒนาเรื่องของการตัดสินใจ

 

ที่สำคัญที่สุดคือบทบาทความเป็น ‘ผู้นำ’ ของทีม ที่ไม่ได้เอาปลอกแขนกัปตันทีมมาสวมเฉยๆ ให้ดูโก้

 

เจมส์ ไม่ได้เป็นคนที่ชอบพูดเยอะ แต่เขาเป็นผู้นำด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดี (Lead by example) ทั้งความมุ่งมั่นทุ่มเทในสนาม ความเยือกเย็นในการรับมือกับสถานการณ์กดดัน ไปจนถึงหัวใจนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม

 

สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชลซี สามารถต้านทานอาร์เซนอล ที่กำลังมั่นใจในขุมกำลังของทีมได้

 

และหากจะมีใครสักคนที่เป็น ‘เสาหลัก’ ค้ำยันเชลซีให้มีโอกาสลุ้นประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้

 

รีซ เจมส์คือคนนั้น

 

และเป็นไปได้ที่เขาอาจจะกลายเป็น ‘มิสเตอร์เชลซี’ คนใหม่ ในแบบเดียวกับที่จอห์น เทอร์รี เคยเป็นให้ทีมเมื่อนานมาแล้ว

 

อ้างอิง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising