วันนี้ (30 พฤศจิกายน) เวลา 10.00 น. ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในงานมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 วงเงิน 3,788,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จำนวน 7,400 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 0.2%
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 จะทำให้รัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ การแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน รวมถึงการประกาศวาระสำคัญของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลาง คือช่วงปี 2570 – 2573
ในปีนี้ถึงแม้จะยังเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล แต่รัฐบาลตั้งใจที่จะลดการขาดดุลของงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต และรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยอยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงิน การคลัง และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปีงบประมาณ 2570 เป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำ ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ทำให้ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการปรับตัวป้องกันภัยพิบัติ และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันสมัยโดยนำระบบดิจิทัล และเทคโนโลยี มาใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามประเมินผลเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณโปร่งใสตรวจสอบได้ ดังนั้น งบประมาณปี 2570 ต้องตอบโจทย์ได้ครบสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลสังคม และการรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ 5 ด้านดังนี้
1.ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจะดำเนินมาตรการให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นระบบ โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้นควบคู่กับการวางแผนมาตรฐานเศรษฐกิจในระยะยาว ตามนโยบาย Quick Big Win ซึ่งนโยบายนี้มีนัยว่าเป็นการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว โดยช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการเติบโตในไตรมาสที่ 4 ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท
ขณะที่ การลงทุนเพื่ออนาคตมีการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสร้างความยั่งยืน ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโตกับเส้นทางเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อลดข้อจำกัดด้านการส่งออก และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร รวมถึงการออกมาตรการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ
2.ด้านการต่างประเทศ รัฐบาลกำลังเร่งเจรจาเพื่อแก้ไขผลกระทบจากสงครามการค้า รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทย ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ให้แล้วเสร็จภายในปี 2573 หากประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก เราจะเป็นประเทศที่สร้างความเชื่อมั่น สร้างความเชื่อถือ และสามารถดึงดูดความมั่นใจแก่ประเทศผู้ค้าต่างๆทั่วโลก เพื่อให้เกิดการลงทุนในประเทศของเราได้มากยิ่งขึ้น
รวมถึงด้านความมั่นคงซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นแนวทางสันติวิธี ในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศของเรากับประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นำประเทศไทยกลับเข้ามาสู่จอเรดาร์อีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจ และสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก
3.ด้านสังคม รัฐบาลจะจัดการอย่างเร่งด่วนกับปัญหาสแกมเมอร์หรือการหลอกลวงทางเทคโนโลยี การพนัน อาชญากรรมข้ามชาติ และยาเสพติด รวมถึงการแก้ไขปัญหาการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง และพวกพ้อง โดยยึดหลักนิติธรรม และความโปร่งใส เพื่อยุติการคอร์รัปชัน
ขอย้ำว่า รัฐบาลนี้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของสแกมเมอร์ ยาเสพติด และเจ้าของบ่อนการพนัน เจ้าของธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ตนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าได้ให้ความร่วมมือในการดำเนินทุกนโยบาย ที่จะทำให้สังคมเหล่านี้พ้นไปจากประเทศไทยซึ่งผลงานก็เห็นอยู่
4.ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะพื้นที่ประสบภัยอุทกภัยเป็นประจำ หรือพื้นที่มีความเสี่ยงสูงด้านหมอกควัน พร้อมเร่งเยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบภัยให้กลับสู่สภาพวิถีชีวิตปกติให้เร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้ลงพื้นที่ในหลายจังหวัดหลายครั้ง เพื่อตรวจสถานการณ์ และหาวิธีช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบ ได้เห็นว่าสถานการณ์ปีนี้รุนแรง เช่น น้ำท่วมอย่างหนัก จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเยียวยาโดยเร็ว ครอบคลุม ทั่วถึง และลดขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้เงินช่วยเหลือ และนโยบาย เข้าถึงประชาชนโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ หากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน มีการจัดประชุม อีเว้นต์ หรืออบรมสัมมนา ช่วงปลายปี ขอให้พิจารณาจัดในจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งทุกภาคส่วนได้เตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว และนักกีฬาซีเกมส์ไว้แล้ว แต่ต้องชะลอไปเพราะสภาพพื้นที่ไม่เอื้ออำนวยให้จัดการแข่งขัน ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก
จากการต้องยกเลิกการเดินทางของนักกีฬา นักท่องเที่ยว และกองเชียร์ จึงขอฝากหัวหน้าส่วนราชการทุกท่าน ตนไม่ได้ตัดงบประมาณสำหรับการประชุมหรือสัมมนาภายในประเทศ แต่ขอให้เลือกจังหวัดที่กำลังประสบภัย เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบดีขึ้นจากการมีเงินหมุนเวียนในพื้นที่
ขณะที่ ด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net zero หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 หากไม่เริ่มวันนี้อีกไม่กี่สิบปีก็อาจสายเกินไป ดังนั้น เราจำเป็นต้องเป็นผู้ริเริ่มให้ได้ เพื่อบรรลุเป้าหมาย 100% ภายใน 25 ปี
5.ด้านการบริหารงานภาครัฐ รัฐบาลจะปฏิรูประบบราชการและกฎหมาย มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลให้บริการอย่างสะดวกรวดเร็ว โปร่งใส เปิดเผยข้อมูล แก้ไข รวมถึงยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อประชาชน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจาก 5 ด้าน รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการวางรากฐานประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งด้านการศึกษา ระบบสุขภาพ การส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบคมนาคม และโลจิสติกส์ ด้านพลังงานทดแทน นวัตกรรมประหยัดพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่รัฐบาลของตนได้บริหารประเทศ ตนอยากนามสกุลหลีกภัย แต่กลับได้นามสกุลเจอภัย ทั้งภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ ตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงปัจจุบัน มีภัยเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก จึงต้องเร่งดำเนินมาตรการ Quick Big Win ซึ่งประชาชนมีความพึงพอใจ มีความเชื่อมั่น รัฐบาลก็พยายามทำต่อเพื่อให้ประชาชนมีขวัญกำลังใจ
ส่วนภัยความมั่นคง เรามีปัญหาพิพาทกับกัมพูชา ตนขอเอ่ยชื่อเลย ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตนได้เห็นความทุ่มเทเสียสละอดทนเป็นอย่างยิ่งของคนไทย ตลอดจนความอดทน ความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาปกป้องอธิปไตย รักษาบ้านเมือง ของทางกองทัพ ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครอง ตนเข้ามาในช่วงที่พีคพอดี
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะไม่มีขาที่แปด ถ้ามีขาที่แปด เราต้องแสดงให้คนคิดว่าประเทศไทยของเราเป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้ ผมเชื่อว่าพี่น้อง และกองทัพ คงทราบดีว่าเราคงต้องให้เขาได้ยินว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร ผมยังเชื่อมั่น แม้เรามีบทกลอนสอนว่า ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ผมได้พบกับพี่น้อง เพื่อนข้าราชการฝ่ายความมั่นคงมาตลอด เชื่อว่าไทยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรักษาเอกราชของชาติ รักษาเกียรติภูมิเกียรติยศ และไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากชนะลูกเดียวหากต้องมีการต่อสู้กัน นี่คือนโยบายที่จะบอกว่า รัฐบาลต้องให้การสนับสนุนกองทัพในการรักษาอธิปไตยอย่างเต็มที่
สำหรับภัยธรรมชาติ พายุ น้ำท่วม จากสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลง เราจะต้องทำให้งบประมาณสอดรับกับสถานการณ์ของประเทศ และสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป โดยมีเป้าหมายเพื่อประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งในปี 2570 ตน และสำนักงบประมาณช่วยกันพิจารณาจัดทำงบประมาณ เพื่อพัฒนาและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และจะต้องหากลยุทธ์ทุกรูปแบบ เพื่อให้การจัดทำงบประมาณนี้ช่วยให้ประชาชนพ้นจากภัย 4 ข้อข้างต้น โดยขอให้สำนักงบประมาณ พิจารณาปัจจัยของภัยทั้ง 4 และจัดหางบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เนื่องจากสถานการณ์ภาคการคลังของประเทศไทย ได้ส่งสัญญาณเตือนหลายด้าน สัดส่วนรายได้ของรัฐบาลต่อจีดีพีลดลงต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อจีดีพีมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ รัฐบาลจึงเน้นฟื้นฟูสภาพการคลังของประเทศ กำหนดเป้าหมายลดการขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ 3 ของปี 2572 และควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะให้ไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี ขอให้ข้าราชการทุกฝ่าย ช่วยกันบริหารการจ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อไม่ให้ประเทศต้องเจอวิกฤตการณ์ด้านการเงินการคลังในอนาคต
ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายของปี 2570 กำหนดวงเงินไว้ที่ 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 7,400 ล้านบาท ขอให้ทุกหน่วยงานได้พิจารณาจัดทำคำขอให้มีประสิทธิภาพ และไม่ควรเพิ่มเกินร้อยละ 20 ของปีที่แล้ว ส่วนที่เพิ่มขึ้นควรจะเป็นรายจ่ายการลงทุน ไม่ใช่รายจ่ายที่ใช้แล้วหายไป ต้องไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำที่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว
ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ รัฐบาลขอความร่วมมือทุกท่าน ร่วมกันปรับเปลี่ยนการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด การใช้งบประมาณต้องมีความโปร่งใสและต้องมีความคุ้มค่า ขอเน้นย้ำว่าเนื่องจากรายจ่ายประจำเพิ่มสูงขึ้นมาก ขอให้ใช้รายจ่ายประจำเฉพาะส่วนที่จำเป็น จะได้มีเม็ดเงินเพื่อการลงทุนเข้ามามากขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะยึดหลักการทำงานที่จะดำรงไว้ซึ่งการพิทักษ์รักษาชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ยึดมั่นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยึดมั่นในหลักนิติธรรม ใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมบนหลักธรรมาภิบาล











