EXIM BANK เตรียมวงเงิน 1,000 ล้านบาท สำหรับการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ในรูปแบบของสินเชื่อระยะสั้นก่อนเปลี่ยนเป็นสินเชื่อระยะยาว (Bridging Loan) ให้กับนิติบุคคลโรงงานที่ได้รับผลกระทบ ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1.99% เป็นมาตรการเยียวยาหลังระดับน้ำลดลง
วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เผยว่า EXIM BANK ต้องการเป็นมากกว่าแบงก์ โดย EXIM BANK ต้องการเป็นธนาคารเพื่อพัฒนาผู้ส่งออก และเสริมสร้างศักยภาพของผู้ส่งออกให้ส่งออกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งโจทย์แรกของ EXIM BANK คือการเพิ่มจำนวนผู้ส่งออกไทยสู่ตลาดโลกให้ได้ 10% จากระดับปัจจุบันที่ 27,000 ราย และมีประมาณ 5,000 รายที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME
โดย EXIM BANK มุ่งเป้าส่งเสริมโดยเน้นไปยังผู้ประกอบการเพื่อการส่งออก หรือที่เรียกว่า ‘SME-X’ ผ่านการประกันการส่งออก นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์และสินเชื่อทางการเงินที่มีอยู่เดิม
เนื่องจากว่าปัญหาที่ SME ส่วนใหญ่เผชิญ ไม่ได้มีแค่ปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อ แต่ยังเป็นความกังวลและไม่กล้าส่งออกไปยังบางตลาด ซึ่งชลัชกล่าวว่า EXIM BANK จะเข้าไปทำตลาดให้ก่อน และชักชวนให้ SME ดำเนินการส่งออกตามมา
เตรียม Soft Loan วงเงิน 1,000 ล้านเยียวยาน้ำท่วม
สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ได้มีการประชุมแผนบริหารความต่อเนื่องภายใต้สภาวะวิกฤต (Business Continuity Plan) ในช่วงเช้าวันนี้ เป็นแผนฉุกเฉินเร่งด่วนสำหรับลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคใต้ ซึ่งลูกค้าของ EXIM BANK จำนวนหนึ่งที่ได้รับความเสียหายในส่วนนี้
ทาง EXIM BANK ได้ออกมาตรการช่วยเหลือ โดยลูกค้าปัจจุบันจะได้รับการขยายตั๋วการส่งออกให้มากขึ้น และขยายการชำระเงิน เพื่อไม่ให้ลูกค้าได้รับผลกระทบด้านเครดิตบูโร
นอกจากนี้ EXIM BANK ยังได้เตรียมวงเงิน 1,000 ล้านบาท สำหรับการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ในรูปแบบของสินเชื่อระยะสั้นก่อนเปลี่ยนเป็นสินเชื่อระยะยาว (Bridging Loan) ให้กับนิติบุคคลโรงงานที่ได้รับผลกระทบ ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1.99% เป็นมาตรการเยียวยาหลังระดับน้ำลดลง
โดยได้รับความร่วมมือจากธนาคารออมสิน และการสั่งการจากกระทรวงการคลัง ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างจัดทำแพ็กเกจเพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังน้ำท่วม ซึ่งเกณฑ์ความช่วยเหลือจะแบ่งตามอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ ชลัชมองว่า จำเป็นต้องมีมาตรการระยะกลางเพิ่มเติมจากสินเชื่อหมุนเวียน ในช่วง 6 เดือนหลังจากระดับน้ำลดลง ซึ่งอาจเป็นสินเชื่อปรับฐาน และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
เตรียมปรับน้ำหนักสินเชื่อเป็น Working Capital หนุนผู้ส่งออกปีหน้า
ชลัช ระบุว่า แนวโน้มสินเชื่อในปี 2569 จะสะท้อนทิศทาง GDP โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังสำนักงานยุทธศาสตร์การค้าประเมินการส่งออกปีหน้ามีโอกาสชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยชี้ว่า “ถ้า GDP โต สินเชื่อก็โตตาม แต่ถ้า GDP หดตัว สินเชื่อก็อาจไม่ขยายตัวเช่นเดิม”
อย่างไรก็ตาม ชลัชย้ำว่า พันธกิจหลักของ EXIM BANK ยังคงมุ่งไปที่ ผู้ส่งออกเป็นหลักเท่านั้น EXIM BANK จึงเตรียมปรับร่างพอร์ตสินเชื่อใหม่ จากสินเชื่อระยะยาว (Long-term Loan) ไปสู่สินเชื่อหมุนเวียนหรือ Working Capital เพื่อการส่งออก มากขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องสำหรับรับมือออเดอร์และต้นทุนที่ผันผวน
ชลัชระบุว่า ส่วนของสินเชื่อ Long-term จะปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปเป็นผู้ดำเนินการหลัก ขณะที่ฝั่ง EXIM BANK จะเร่งขยายสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อการส่งออก “ในระดับที่ใกล้ 100%” เพื่อรักษาการเติบโตของภาคส่งออกในปีที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอแรงกว่าปีนี้
เน้นผลักดัน SME เข้าตลาดใหม่ รับมือภาษีสหรัฐฯ
ชลัช กล่าวต่อว่า กรณีภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน EXIM BANK จะเข้ามาช่วยผู้ส่งออกประเมินความคุ้มค่าเป็นรายออเดอร์อย่างละเอียด โดยวิเคราะห์ต้นทุน และราคาต่อหน่วย ตลอดจนประเมินผลกระทบจากโครงสร้างภาษีใหม่ก่อนการปล่อยสินเชื่อ
หากพบว่าออเดอร์ใดมีแนวโน้มขาดทุน ธนาคารจะเตือนผู้ประกอบการทันที เพื่อให้ตัดสินใจบนข้อมูลจริง ซึ่งแนวทางนี้ ชลัชระบุว่าเป็นกระบวนการวิเคราะห์เชิงธุรกรรมที่ธนาคารอื่นยังไม่เริ่มทำ และ EXIM BANK จะเป็นรายแรกที่ทำอย่างเป็นระบบ
ชลัชยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยได้ปรับตัวต่อแรงกดดันด้านภาษีและเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยยอดส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ของลูกค้า EXIM มีจำนวนลดลง แม้จำนวนลูกค้าโดยรวมยังคงเท่าเดิม สะท้อนว่าผู้ส่งออกบางรายเลือกกระจายตลาดออกจากสหรัฐฯ หลังภาวะ GDP สหรัฐฯ ชะลอตัวในครึ่งหลังของปี ทำให้ตลาดนี้เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง
ชลัช กล่าวอีกว่า สถาบันการเงินพาณิชย์ยังคงมีบทบาทสนับสนุนผู้ส่งออก แต่ทางฝั่งของ EXIM BANK จะมุ่งคัด (Selective) และผลักดันเฉพาะ SME ไทยให้เข้าสู่ตลาดใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีศักยภาพแต่ยังเผชิญความเสี่ยงจากต้นทุนการค้าและความผันผวนด้านภาษี
ชลัชยอมรับว่า ปีหน้ามีความไม่แน่นอนสูงจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันระหว่างจีน-สหรัฐฯ ซึ่งอาจกดดันการส่งออกหลายอุตสาหกรรม แต่ EXIM BANK จะเดินหน้าสนับสนุนผู้ส่งออกไทยให้ปรับตัวทันต่อความเสี่ยง พร้อมขยายตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลัก และรักษาความสามารถแข่งขันของผู้ประกอบการในช่วงที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


