ถ้าถามว่าสำหรับคนที่ใช้ชีวิตแบบไม่หยุดนิ่ง นาฬิกาที่ดีควรเป็นยังไง คำตอบของเราคงหนีไม่พ้นต้องใช้ได้จริงทุกสถานการณ์ ไม่ใช่แค่ดูดีบนข้อมือตอนใส่ทำงาน แต่ต้องทนทานพอที่จะลงสนามเทนนิสกลางแดด ดำน้ำในทะเล หรือวิ่งยาวๆ ในตอนเช้าได้ด้วย
สำหรับคนอย่างเราที่เป็นสายแอ็กทีฟ ออกกำลังกายเป็นประจำแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง เวทเทรนนิ่ง ว่ายน้ำ HIIT เทนนิส หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ การมีสมาร์ทวอทช์ที่ตอบโจทย์ได้ครบจบในตัวเดียวจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก มันต้องเป็นมากกว่าแค่เครื่องมือบอกเวลา แต่ต้องเป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่คอยดูแลสุขภาพ ติดตามผลการออกกำลังกาย การนอน การพักฟื้น และที่สำคัญคือต้องไม่เป็นภาระในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบตที่ต้องชาร์จบ่อย หรือฟังก์ชันที่ซับซ้อนจนใช้ไม่ถนัด

เมื่อ Apple ประกาศเปิดตัว Apple Watch Ultra 3 เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะแตกต่างจากApple Watch Ultra 2 ที่เราเคยใช้มาแค่ไหน เพราะถ้าดูจากภาพแรกๆ หน้าตาก็ยังเป็นเรือนไทเทเนียม 49 มม. ที่คุ้นตาดี แต่หลังจากได้ลองใช้งานจริงมาสักพัก ต้องบอกเลยว่า Apple Watch Ultra 3 คือการอัปเกรดที่ก้าวกระโดดของค่ายนี้
วันนี้เราเลยอยากพาทุกคนมาดูกันว่า Apple Watch Ultra 3 เปลี่ยนแปลงไปยังไง และมันคุ้มค่ากับการอัปเกรดหรือไม่สำหรับคนที่กำลังมองหานาฬิกาสปอร์ตตัวใหม่
จอภาพใหม่
สิ่งแรกที่สังเกตได้ทันทีคือจอภาพใหม่แบบ LTPO3 ที่ทำให้ขอบจอบางลงถึง 24% หน้าจอเลยดูใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น และคมชัดขึ้น ทั้งๆ ที่ตัวเรือนยังขนาดเดิม ตอนเข้าคลาสฟิตเนสหรือวิ่ง แค่เหลือบมองข้อมือก็อ่านค่าต่างๆ ได้ง่ายมาก ไม่ต้องเงยข้อมือขึ้นมาดูตรงๆ แบบเดิม
ที่ชอบมากคืออัตรารีเฟรชของจอแบบ Always-On ที่ปรับลงมาอยู่ที่ 1Hz ทำให้เข็มวินาทีขยับแบบเรียลไทม์ ดูแล้วลื่นไหลดี ไม่กระตุกแบบเดิมที่อัปเดตทีละนาที พลังงานก็ประหยัดกว่าด้วย ถ้าเคยใช้รุ่นที่แล้วมาก่อน จะรู้สึกได้ชัดเลยว่าต่างกัน

แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น
เรื่องแบตก็ต้องยกนิ้วให้เพราะแน่นอนว่าทุกครั้งที่ออกรุ่นใหม่ มันมักจะอึดขึ้นเรื่อยๆ อย่างรุ่นนี้ เราใช้ได้ประมาณ 42 ชั่วโมงต่อเนื่อง ถ้าเปิดโหมดประหยัดพลังงานไปได้ 72 ชั่วโมงเลย เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบชาร์จบ่อยๆ มักใช้ชีวิตกลางแจ้งหลายวัน หรือแม้แต่ไปพักต่างจังหวัด ก็ไม่ต้องเครียดเรื่องแบตหมด เพราะบางทีก็ไม่ได้พกสายชาร์จไปด้วย
ไม่ต้องพกมือถือไปทุกที่
การรองรับ 5G ก็เป็นอีกจุดที่ชอบมากเพราะเราสามารถดาวน์โหลดเพลง พอดแคสต์ หรือใช้แอปต่างๆ ไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญมีระบบปรับสัญญาณอัจฉริยะที่ทำให้แม้อยู่ในที่สัญญาณอ่อนก็ยังใช้งานได้เสถียร เราชอบวิ่งตอนเช้าหรือลงสระว่ายน้ำโดยไม่เอามือถือไปด้วย แต่จะเก็บไว้บนรถหรือล็อกเกอร์ แต่ยังฟังเพลงและรับสายได้ ปกติ รู้สึกอิสระและไม่มีภาระดี


ตัวช่วยด้านสุขภาพที่ฉลาดและเข้าใจ
ในเรื่องสุขภาพ ฟีเจอร์คะแนนการนอนหลับบน watchOS 26 ช่วยได้มาก เพราะมันวิเคราะห์จากข้อมูลของสถาบันด้านการนอนหลับระดับสากลและการศึกษากว่า 5 ล้านคืน ทุกเช้าตื่นมาก็จะได้คะแนนที่บอกว่าเรานอนดีแค่ไหน ควรปรับอะไรบ้าง ทำให้รู้สึกว่ามีคนคอยดูแลสุขภาพเราอยู่ เพราะคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ การพักฟื้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก บางทีเราก็ไม่รู้ว่าร่างกายล้าอยู่ขนาดไหน

Workout Buddy ก็เจ๋งมาก เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ Apple Intelligence วิเคราะห์ข้อมูลฟิตเนสของเรา แล้วคอยให้คำแนะนำและเสียงโค้ชแบบเรียลไทม์ ต่างจากรุ่นก่อนหน้าที่แค่บอกตัวเลข ตรงนี้มันรู้สึกเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัวคอยดูแล ไม่ว่าจะวิ่ง เวทเทรนนิ่ง ว่ายน้ำ HIIT มันปรับคำแนะนำให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรม นอกจากนี้ยังรองรับกิจกรรมเฉพาะทางอย่างดำน้ำ เดินป่า และกอล์ฟได้ดีมาก
Good for

ถ้าถามว่าใครเหมาะกับ Apple Watch Ultra 3 ที่มีราคาเริ่มต้น 29,990 บาท คำตอบคือถ้าอยากได้ของใหม่รุ่นล่าสุดเลย รุ่นนี้คือที่สุดของสายแอ็กทีฟจริงๆ แต่ต้องทำใจไว้นิดนึงว่าหน้าตาหรือดีไซน์ภายนอกอาจจะไม่เปลี่ยนจาก Apple Watch Ultra 2 เท่าไรนัก แม้จะมาพร้อมสายดีไซน์ใหม่ก็ตาม แต่ความต่างอยู่ที่ประสบการณ์การใช้งาน ฟีเจอร์ใหม่ และประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็อาจต้องเป็นคนที่ใช้งานทุกฟังก์ชันเด่นที่เล่าไปเป็นประจำจริงๆ จึงจะคุ้มค่ากับการอัปเกรด
คลิกอ่านเพิ่มเติมเรื่อง Sleep Score


